อาการแสบร้อนกลางอก อาหารไม่ย่อย หรือที่เรารู้จักกันว่า "กรดไหลย้อน" (Gastroesophageal Reflux Disease: GERD) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร ซึ่งเป็นท่อที่ลำเลียงอาหารและของเหลวจากปากไปยังกระเพาะอาหาร แม้ว่าอาการเหล่านี้จะพบได้บ่อยและมักไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่หากเป็นเรื้อรังและไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง รวมถึงการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลอดอาหารได้
กรดไหลย้อนคืออะไรและเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
กรดไหลย้อนอาจทำให้เกิด ภาวะหลอดอาหารอักเสบ คือเยื่อบุหลอดอาหารเกิดการอักเสบ บวมแดง หากไม่ได้รับการรักษา การอักเสบนี้อาจนำไปสู่แผลในหลอดอาหาร มีเลือดออก หรือหลอดอาหารตีบแคบได้
สาเหตุของกรดไหลย้อนมีหลายปัจจัย เช่น การรับประทานอาหารมื้อใหญ่ โดยเฉพาะอาหารทอด อาหารไขมันสูง อาหารรสจัด ผลไม้รสเปรี้ยว หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและน้ำอัดลม การนอนราบทันทีหลังรับประทานอาหาร การออกกำลังกายหลังมื้ออาหาร การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ก็เป็นปัจจัยสำคัญ นอกจากนี้ ไส้เลื่อนกระบังลม การตั้งครรภ์ และภาวะอ้วนหรือมีไขมันสะสมในช่องท้องมาก ล้วนเพิ่มความเสี่ยงได้เช่นกัน
เช็กอาการ 4 ระยะ "กรดไหลย้อน"
ระยะที่ 1: อาการเล็กน้อย (Mild GERD) ระยะเริ่มต้นที่พบได้บ่อย อาการไม่รุนแรง เกิดขึ้นเพียงเดือนละ 1-2 ครั้ง มีการอักเสบเล็กน้อยที่หลอดอาหารส่วนล่าง และไม่รบกวนชีวิตประจำวันมากนัก
- อาการ เรอเปรี้ยว แสบร้อนที่คอ เจ็บหน้าอกเล็กน้อย รู้สึกเหมือนมีก้อนจุกคอ สำรอกอาหารหรือของเหลวเล็กน้อย
- การรักษา ปรับวิถีชีวิต เช่น ทานอาหารตรงเวลา หลีกเลี่ยงการนอนหลังกินทันที และใช้ยาลดกรด
ระยะที่ 2: อาการปานกลาง (Moderate GERD) อาการรุนแรงขึ้น เกิด 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เริ่มกระทบชีวิตประจำวัน ควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม มิฉะนั้นอาจนำไปสู่หลอดอาหารอักเสบ
- อาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ หายใจไม่สุด เหนื่อยง่าย แสบร้อนหน้าอกและคอ ท้องผูก ผายลมเหม็น ปวดตึงบ่าไหล่บ่อยครั้ง
- การรักษา ปรึกษาแพทย์เพื่อใช้ยา เช่น Proton-Pump Inhibitors (PPIs) และปรับพฤติกรรม เช่น หลีกเลี่ยงอาหารมันหรือเผ็ด
ระยะที่ 3: อาการรุนแรง (Severe GERD) มีการอักเสบของหลอดอาหารอย่างต่อเนื่องและรุนแรง ผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น หลอดอาหารตีบหรือแผลในหลอดอาหาร
- อาการ ไอเรื้อรัง แสบร้อนกลางอกเป็นประจำ เจ็บคอ เสียงแหบ คลื่นไส้ อาเจียน สำรอกอาหารหรือของเหลวบ่อย
- การรักษา ปรึกษาแพทย์เพื่อใช้ยา PPIs หรือยาอื่นตามสั่ง ปรับวิถีชีวิตตามคำแนะนำ และติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
ระยะที่ 4: เสี่ยงมะเร็งหลอดอาหาร (Reflux-Induced Precancerous Lesions or Esophageal Cancer) ระยะรุนแรงสุด เกิดจากการปล่อยทิ้งอาการนานหลายปี ประมาณ 10% ของผู้ป่วยอาจพัฒนาไปสู่ภาวะ Barrett’s Esophagus หรือมะเร็งหลอดอาหาร
- อาการ แสบร้อนกลางอกต่อเนื่อง กลืนลำบาก สำรอกอาหารหรือของเหลวบ่อย ภาวะ Barrett’s Esophagus
- การรักษา ต้องพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจวินิจฉัย เช่น ส่องกล้องหลอดอาหาร ใช้ยารักษาตามอาการ และอาจต้องผ่าตัดในบางกรณี

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
อาการทั่วไปของกรดไหลย้อน ได้แก่ แสบร้อนกลางอก มักเกิดขึ้น 30-60 นาทีหลังอาหาร อาการเรอเปรี้ยว สำรอกอาหาร หรือของเหลว กลืนลำบาก เจ็บหน้าอก ไอ เจ็บคอ เสียงแหบ และรู้สึกเหมือนมีก้อนจุกในลำคอ
เมื่อกรดไหลย้อนเกิดขึ้นบ่อยครั้งและเป็นระยะเวลานาน ร่างกายอาจพยายามรักษาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเยื่อบุหลอดอาหาร โดยการสร้างเนื้อเยื่อบุชนิดใหม่ขึ้นมาแทนที่เนื้อเยื่อบุผิวปกติของหลอดอาหาร ซึ่งเนื้อเยื่อใหม่นี้มีลักษณะคล้ายกับเยื่อบุของลำไส้เล็ก ภาวะนี้เรียกว่า "หลอดอาหารบาร์เรตต์" (Barrett's Esophagus - BE)
หลอดอาหารบาร์เรตต์ไม่ใช่เนื้อร้าย แต่เป็นภาวะก่อนมะเร็งที่สำคัญ การวินิจฉัยจะทำได้โดยการส่องกล้องตรวจหลอดอาหารและตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ หากพบภาวะนี้ในระยะเริ่มแรก มักจะมีความเสี่ยงต่ำที่จะพัฒนาไปเป็นมะเร็ง อย่างไรก็ตาม หากเนื้อเยื่อมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ผิดปกติมากขึ้น ความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งก็จะสูงขึ้น
ความเชื่อมโยงสู่มะเร็งหลอดอาหาร
Environmental Causes of Esophageal Cancer จาก NIH ระบุว่า มะเร็งหลอดอาหารเป็นมะเร็งที่อันตรายและมีอัตราการเกิดเพิ่มขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา มะเร็งหลอดอาหารมี 2 ประเภทหลัก ได้แก่
- อะดีโนคาร์ซิโนมา (Adenocarcinoma) ซึ่งเป็นชนิดที่พบมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา
- สควอมัสเซลล์คาร์ซิโนมา (Squamous cell carcinoma)
ภาวะหลอดอาหารบาร์เรตต์มักมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับมะเร็งหลอดอาหารชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมา (Esophageal Adenocarcinoma - EAC) และความเสี่ยงที่หลอดอาหารบาร์เรตต์จะพัฒนาไปเป็น EAC อยู่ที่ประมาณร้อยละ 0.5-1 ต่อปี ดังนั้น เป้าหมายหลักของการตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังภาวะหลอดอาหารบาร์เรตต์คือการระบุตัวบุคคลที่มีความเสี่ยงต่อการดำเนินไปสู่มะเร็งหลอดอาหาร

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
ใครคือกลุ่มเสี่ยงที่ควรตรวจคัดกรอง ?
คำแนะนำจาก American College of Gastroenterology (ACG) ระบุว่า การตรวจคัดกรองหลอดอาหารบาร์เรตต์ ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางผู้ชายที่มีอาการกรดไหลย้อนเรื้อรัง ที่เป็นมานานกว่า 5 ปี และ/หรือมีอาการบ่อยครั้ง เช่น ทุกสัปดาห์หรือมากกว่า ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ อย่างน้อย 2 ข้อขึ้นไป แม้ว่าผู้หญิงจะมีความเสี่ยงน้อยกว่ามาก แต่ก็ควรพิจารณาการตรวจคัดกรองหากมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ได้แก่
- อายุมากกว่า 50 ปี
- ภาวะอ้วนลงพุง วัดรอบเอวเกิน 102 ซม. หรืออัตราส่วนรอบเอวต่อสะโพก (WHR) มากกว่า 0.9 ในผู้ชาย และ รอบเอวเกิน 88 ซม. หรือ WHR มากกว่า 0.8 ในผู้หญิง
- ประวัติการสูบบุหรี่
- ครอบครัว (ญาติสายตรง) มีประวัติเคยเป็นหลอดอาหารบาร์เรตต์หรือมะเร็งหลอดอาหาร
- อาการกรดไหลย้อนเริ่มต้นตั้งแต่อายุน้อย
- มีไส้เลื่อนกระบังลม

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
การวินิจฉัยและการเฝ้าระวัง
การวินิจฉัยหลอดอาหารบาร์เรตต์และมะเร็งหลอดอาหารทำได้โดยการส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารส่วนบน ซึ่งแพทย์จะสอดท่อขนาดเล็กพร้อมกล้องติดปลายเข้าไปในลำคอเพื่อตรวจดูเยื่อบุหลอดอาหาร เยื่อบุหลอดอาหารปกติจะมีสีซีดและมันวาว แต่ในภาวะหลอดอาหารบาร์เรตต์ จะมีลักษณะเป็นสีแดงคล้ายกำมะหยี่ แพทย์จะทำการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของเซลล์
- ผู้ป่วยที่มีหลอดอาหารบาร์เรตต์ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ผิดปกติ ควรได้รับการส่องกล้องตรวจเฝ้าระวังทุก 3-5 ปี
- หากมีการเปลี่ยนแปลงเซลล์เล็กน้อย การส่องกล้องและติดตามผลทุก 6-12 เดือน หรืออาจพิจารณาการรักษาด้วยวิธีการส่องกล้องเพื่อกำจัดเนื้อเยื่อผิดปกติ
- กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ผิดปกติขั้นสูง การรักษาด้วยวิธีการส่องกล้องเพื่อกำจัดเนื้อเยื่อผิดปกติเป็นทางเลือกที่แนะนำ
- สำหรับมะเร็งหลอดอาหารระยะเริ่มต้น (T1a EAC) การรักษาด้วยวิธีการส่องกล้องก็เป็นวิธีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
ยาลดกรดกลุ่มโปรตอนปั๊มอินฮิบิเตอร์ (Proton Pump Inhibitors: PPIs) เช่น โอเมพราโซล (Omeprazole) และแลนโซพราโซล (Lansoprazole) เป็นยาที่ใช้กันแพร่หลายในการรักษาอาการกรดไหลย้อน ซึ่งช่วยลดการผลิตกรดในกระเพาะอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัย Proton Pump Inhibitors and Cancer Risk: A Comprehensive Review of Epidemiological and Mechanistic Evidence ที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างการใช้ยา PPIs ที่นานกว่า 3 เดือน กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการเกิดมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และมะเร็งตับอ่อน ขณะที่การใช้ในระยะสั้น (น้อยกว่า 3 เดือน) มีความเสี่ยงต่ำกว่า
กลไกที่ยา PPIs อาจเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งนั้นยังไม่เป็นที่ชัดเจนทั้งหมด แต่มีการตั้งสมมติฐานหลายประการ เช่น การเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดด่างในกระเพาะอาหารและลำไส้ ส่งผลต่อจุลินทรีย์ในลำไส้ การกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนแกสตริน มากเกินไป ซึ่งอาจส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์บางชนิดในกระเพาะอาหาร การเพิ่มขึ้นของเซลล์ในกระเพาะอาหาร และอาจเกี่ยวข้องกับการจับกับโปรตีนบางชนิดในร่างกาย
ด้วยเหตุนี้ การพิจารณาใช้ยา PPIs หรือกลุ่มยารักษาอาการกรดไหลย้อนในระยะยาว ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำและการประเมินของแพทย์อย่างรอบคอบ เพื่อชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิตยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการอาการกรดไหลย้อนและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
หากมีอาการกรดไหลย้อนเรื้อรังที่รุนแรง ไม่ตอบสนองต่อการรักษา อย่าลังเลที่จะไปพบแพทย์ หากตรวจพบ ก็จะได้เข้าสู่กระบวนการการรักษา เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้
ที่มาแหล่งข้อมูล : NIH, Yale School of Medicine, Memorial Sloan Kettering Cancer Center, Mayo Clinic, ACG Clinical Guideline,
อ่านข่าวอื่น :
ทบ.ยืนยัน "พลทหาร" ปลิดชีพไม่ได้คลั่ง คาดเกิดจากสภาพจิตใจ
สงครามในใจ "PTSD" ความทรมานทหารกล้าหลังเผชิญสมรภูมิเดือด