วันนี้ (19 ส.ค.2568) รัฐบาลทหารเมียนมาประกาศมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่า การเลือกตั้งที่จะจัดขึ้นในประเทศ จะแบ่งออกเป็นหลายระยะ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความปลอดภัยและการบริหารจัดการ ซึ่งการเลือกตั้งระยะแรก จะจัดขึ้นในช่วงสิ้นปีนี้
สถานีโทรทัศน์ MRTV ของทางการเมียนมา ระบุว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งเมียนมาประกาศจัดการเลือกตั้งทั่วไปแบบหลายพรรคการเมือง ระยะที่ 1 ในวันอาทิตย์ที่ 28 ธ.ค.นี้ และจะเดินหน้าประกาศวันเลือกตั้งในระยะต่อ ๆ ไป ให้รับทราบกันหลังจากนี้
นักวิเคราะห์จำนวนมากเห็นตรงกับนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยหลายกลุ่ม ที่มองว่า การเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะเป็นเพียงความพยายามของ พล.อ.อาวุโส มิน ออง ไลง์ ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ในการสร้างความชอบธรรม และรักษาอำนาจของตัวเองเหนือรัฐบาลชุดใหม่ โดยไม่สนใจเสียงวิจารณ์และคัดค้านจากประชาคมโลก หรือแม้กระทั่งเพื่อนบ้านในอาเซียน
แท้จริงแล้ว รัฐบาลทหารเมียนมาส่งสัญญาณเตรียมจัดการเลือกตั้งมาตั้งแต่เมื่อปี 2567 แล้ว หลังจากกองทัพเริ่มเพลี่ยงพล้ำในสมรภูมิรบจากปฏิบัติการ 1027 ของกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธเมื่อปี 2566 ทำให้รัฐบาลทหารเมียนมาตัดสินใจผ่อนคลายระเบียบพรรคการเมือง ก่อนที่จะเริ่มสำรวจสำมะโนประชากรในเดือนตุลาคม เพื่อนำข้อมูลมาจัดทำรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

สัญญาณที่ชัดเจนอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ การกล่าวสุนทรพจน์ปีใหม่ของ มิน ออง ไลง์ ที่ยกให้การจัดการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม เป็นเป้าหมายสูงสุดของรัฐบาลทหารเมียนมาในปีนี้ และได้เริ่มเดินหน้าจัดเตรียมการเลือกตั้งแบบเต็มสูบ ซึ่งรวมถึงการชี้แจงประเด็นนี้กับเพื่อน ๆ อาเซียน ในวงประชุมต่าง ๆ จนนำมาสู่การยกเลิกคำสั่งภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
ในด้านหนึ่ง รัฐบาลทหารเมียนมาอาจจะมองว่า การจัดการเลือกตั้งจะสะท้อนให้เห็นถึงภาพลักษณ์ในการพยายามกลับคืนสู่กระบวนการประชาธิปไตยของรัฐบาลทหาร เพื่อร้องขอความเห็นใจจากนานาประเทศในช่วงที่กองทัพกำลังย่ำแย่ และค่อย ๆ สูญเสียพื้นที่ควบคุมให้กับกลุ่มต่อต้านก่อนหน้านี้
แต่การตัดสินใจดังกล่าวเพิ่มความเสี่ยงให้กับประชาชน และทำให้กลุ่มเคลื่อนไหวต่าง ๆ รวมถึงองค์การสหประชาชาติ ออกมาวิจารณ์ว่า การจัดการเลือกตั้ง ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์สู้รบยังไม่สงบ อาจจะทำให้ความขัดแย้งยิ่งลุกลามบานปลาย ไปจนถึงการยกระดับความรุนแรงในช่วงการเลือกตั้งได้
นี่ยังไม่นับไปถึงการคว่ำบาตรการเลือกตั้งของพรรคการเมือง กลุ่มชาติพันธุ์และชาวเมียนมาที่ต่อต้านรัฐประหาร ซึ่งก็จะทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ขาดความชอบธรรมไปโดยปริยาย แม้ว่ารัฐบาลทหารเมียนมาจะระบุว่า การเลือกตั้งในรอบนี้จะมีพรรคการเมืองส่งผู้สมัครลงชิงชัยในศึกเลือกตั้งทั่วไปมากกว่า 50 พรรคการเมืองก็ตาม
ปัจจุบัน มี 63 พื้นที่ที่ยังคงตกอยู่ภายใต้คำสั่งภาวะฉุกเฉิน เนื่องจากการสู้รบยังเข้มข้น ขณะที่พื้นที่ในความควบคุมของกองทัพจริง ๆ มีเพียงแค่ประมาณ 1 ใน 5 ของทั้งประเทศเท่านั้น ส่วนพื้นที่ 2 ใน 5 เป็นของฝ่ายต่อต้านหลายกลุ่ม และที่เหลือ คือ พื้นที่ที่ยังมีการสู้รบแย่งชิงกันอยู่
ข้อมูลจากสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการศึกษายุทธศาสตร์ในอังกฤษ ชี้ว่า นับตั้งแต่ต้นปี จนถึงเดือนกรกฎาคม เกิดเหตุรุนแรงมากกว่า 6,200 ครั้ง ใน 257 เมืองจากทั้งหมด 330 เมืองทั่วประเทศ แบ่งเป็นเหตุโจมตีและการปะทะกว่า 3,600 ครั้ง เหตุวางระเบิดกว่า 300 ครั้ง การโจมตีทางอากาศพุ่งสูงทะลุ 1,900 ครั้ง ขณะที่มีการทำลายโครงสร้างพื้นฐานอีกหลายร้อยครั้ง

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลทหารเมียนมาพยายามออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อหวังให้การจัดการเลือกตั้งเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งการเสนอรางวัลให้กับนักรบฝ่ายต่อต้านที่ยอมวางอาวุธ และการออกกฎหมายที่เข้มงวด เพื่อจัดการกับผู้ประท้วง หรือผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์การเลือกตั้ง ซึ่งจะมีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี
ขณะที่การทำลายบัตรเลือกตั้งและคูหาเลือกตั้ง รวมทั้งการทำอันตราย หรือข่มขู่คุกคามผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้สมัครและเจ้าหน้าที่จัดการเลือกตั้ง ได้กำหนดระวางโทษจำคุกสูงสุดเอาไว้ที่ 20 ปี แต่มาตรการเข้มงวดดังกล่าวอาจไม่ได้ผลนัก หลังจากกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ เช่น กองทัพอาระกันประกาศเดินหน้าขัดขวางการเลือกตั้งในพื้นที่ควบคุมในรัฐยะไข่แล้ว
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ระบุว่า เตรียมเยือนเมียนมาร่วมกับรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย ไทยและฟิลิปปินส์ในช่วงกลางเดือนหน้า เพื่อให้รับทราบถึงสถานการณ์จริงในพื้นที่ และจะนำข้อมูลที่ได้ ไปหารือในวงประชุมอาเซียนเดือนตุลาคมนี้ คาดว่า การไปเยือนรอบนี้ เมียนมาน่าจะชูประเด็นการเลือกตั้งมาเป็นจุดขายแน่ ๆ หลังจากเมียนมาพยายามผลักดันประเด็นนี้ผ่านเวทีอาเซียนมาตั้งแต่ต้นปี
วิเคราะห์ : ทิพย์ตะวัน ธีรนัยพงศ์
อ่านข่าวอื่น :
รัฐบาลทหารเมียนมาประกาศวันเลือกตั้ง เริ่ม 28 ธ.ค. นี้
ทรัมป์ พบ เซเลนสกี หารือชื่นมื่น ยันสหรัฐฯ จะให้การรับประกันความมั่นคงแก่ยูเครน