แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี พ.ศ.2540 จะกำหนดให้ท้องถิ่นมีการบริหารจัดการพื้นที่ตนเองและถ่ายโอนภารกิจจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่นมากขึ้น รวมถึงให้ผู้บริหารและสภาท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้ง
แต่ในความเป็นจริง ช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ยังมีความไม่ชัดเจนทำให้เกิดคำถามว่า ประชาชนมีอำนาจจริงหรือไม่ และประชาชนในท้องถิ่นได้รับประโยชน์และรับรู้ในอำนาจที่ตนมีมากน้อยเพียงใด

อุปสรรคสำคัญที่ทำให้การกระจายอำนาจในประเทศไทยไม่สามารถขับเคลื่อนได้ สมัชชาแกนนำภาคประชาชนอีสานมองว่า มาจาก ปัญหาความเหลื่อมล้ำในทางโครงสร้าง เป็นผลมาจากเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในระดับชาติ แม้รัฐธรรมนูญจะเอื้อให้คนในท้องถิ่นมีบทบาทในการบริหารจัดการทรัพยากรและการปกครองท้องถิ่นมากขึ้น ความเหลื่อมล้ำทางโครงสร้างนี้ เป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้กระบวนการภาคประชาชนเติบโตได้
นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับข้อบังคับและวัฒนธรรมทางการเมือง ที่ทำให้ประชาชนเข้าไม่ถึงทรัพยากร แหล่งทุน รวมถึงการนำเสนอนโยบายและการร่วมจัดการบริหารในด้านต่าง ๆ ของภาคประชาสังคมในชุมชนท้องถิ่น ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่สุดของสังคม
การจัดการตนเองของจังหวัดเป็นเพียงบันไดขั้นแรกที่จะทำให้ชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง นำไปสู่การกระจายอำนาจส่วนกลาง เพื่อทำลายกำแพงความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างในระดับชาติ
จากเหตุผลดังกล่าว เป็นที่มาของการจัดเวที “สมัชชาแกนนำภาคประชาชนอีสานเพื่อการเปลี่ยนแปลง” ในเดือน ส.ค.2568 ที่ จ.ขอนแก่น เพื่อเตรียมการจัดตั้ง "สภาพลเมือง" เป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญในการเสริมสร้างพลังภาคประชาชนจากระดับฐานราก ไปสู่ระดับชาติ โดยเครือข่ายภาคประชาสังคมจาก 20 จังหวัด
ร่วมกับนักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคธุรกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ รศ.ดร.พรอัมรินทร์ พรหมเกิด นายชาติวัฒน์ ร่วมสุข ผศ.ดร.วิบูลย์ วัฒนนามกุล รศ.ดร.รวี หาญเผชิญ ดร.สมพันธ์ เตชะอธิก และ อ.สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย เพื่อหารือแนวทางผลักดันการกระจายอำนาจ และสร้างกลไก “จังหวัดจัดการตนเอง” โดยใช้ “สภาพลเมือง" ระดับพื้นที่ เป็นกลไกขับเคลื่อนจากร่างขึ้นสู่บน สร้างประชาธิปไตยฐานราก ให้ประชาชนมีอำนาจ ตามวิถีทางประชาธิปไตย เชื่อมกลไกการทำงาน 7 กลไก ประกอบด้วย

1.กลไกภาคีเครือข่าย 7 ส. (สช.,สวรส.,สสส.,พอช.,บพท.,นิด้า)
2.กลไกโครงการวิจัยศักยภาพสูง
3.กลไกสถาบันสานพลังประชาชน
4.กลไกแผนงานสนับสนุนการพัฒนาระบบและกลไกจังหวัดจัดการตนเอง
5.กลไกเครือข่ายวิชาการ
6.กลไกเครือข่ายเยาวชน
7.กลไกเครือข่ายสื่อเพื่อการเปลี่ยนแปลง

ผู้เข้าร่วมได้เสนอแนวทางการขับเคลื่อนในอนาคต ผ่านยุทธศาสตร์ “4 ส.” ได้แก่
1. ส่งเสริมให้ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในกลไกระดับจังหวัด
2. สานพลังภาคีร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและสถาบันการศึกษา เพื่อสร้าง “พื้นที่กลาง” ของการมีส่วนร่วม
3. ผลิตและเผยแพร่ความรู้สู่สาธารณะ ผ่านสื่อสาธารณะและสื่อออนไลน์
4. ผลักดันให้เกิด “สภาพลเมือง” ในจังหวัดที่มีความพร้อม ก่อนขยายสู่เวทีสมัชชาพลเมืองระดับภาคและระดับชาติ
การขับเคลื่อนพลังท้องถิ่นนี้มีเจตจำนงที่แน่วแน่ว่า "จะต้องมีการกระจายอำนาจ และต้องเป็นจังหวัดที่จัดการตนเองได้" เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่การจัดการตนเองอย่างยั่งยืน และลดทอนความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างในระดับชาติ ภายใต้สโลแกน “สานพลังมวลประชา สถาปนาอำนาจประชาชน”
อ่านข่าว : หนุนกระจายอำนาจ พัฒนาท้องถิ่นตรงจุด
กระจายอำนาจ เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด
เปิดแนวคิด "อนุทิน" กับการกระจายอำนาจผู้ว่าฯ CEO