วันนี้ ( 27 ส.ค.2568) นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ในงานสำเภา-นาวาทอง ประจำปี 2568 ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง การแข่งขันทางการค้า หนี้ครัวเรือนสูง ความเหลื่อมล้ำทางสังคม สังคมสูงวัย ปัญหาคอร์รัปชัน รวมถึงวิกฤตระดับโลกด้านภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐกิจ เช่น การเจรจาภาษีไทย–สหรัฐฯ และ FTA ไทย–สหภาพยุโรป ตลอดจนความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อความเชื่อมั่นและคุณภาพชีวิตของประชาชน

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์
ดังนั้น ภาครัฐจำเป็นต้องปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ มีประสิทธิภาพ คล่องตัว และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนและภาคธุรกิจได้อย่างแท้จริง โดยต้องอาศัยผู้นำและผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามายกระดับสู่ระบบ e-Government ที่โปร่งใส เชื่อมโยง และให้บริการประชาชนอย่างมีคุณภาพ พร้อมทั้งบูรณาการแนวคิด ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs)
ความสำคัญของระบบราชการคือการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ หากฝ่ายการเมืองไม่สามารถสื่อสารเชื่อมโยงไปยังส่วนราชการได้ ภารกิจของรัฐก็ไม่อาจขับเคลื่อนได้สำเร็จ ทั้งนี้ต้องขอชื่นชมหอการค้าไทยที่จัดรางวัล “สำเภา–นาวาทอง” ซึ่งมีส่วนกระตุ้นให้หน่วยงานภาครัฐเร่งปรับปรุงกระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เองก็ได้มีการปรับตัวโดยยึดสโลแกน พาณิชย์พึ่งได้ แค่ทักก็ถึง แก้ปัญหาทุกเรื่อง ซึ่งสะท้อนถึงการทำงานที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง

โดยชี้ว่าเจ้าหน้าที่ภาครัฐทุกระดับจำเป็นต้องมี Mindset ที่ถูกต้อง หาก คนดี ระบบดี จะนำไปสู่การทำงานที่มีคุณภาพ เกิดจากการเรียนรู้ พัฒนา และสร้างความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ความเชื่อมโยงตั้งแต่ ต้นน้ำ–กลางน้ำ–ปลายน้ำ มีความสำคัญอย่างยิ่ง ภาครัฐต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาเชิงบูรณาการเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศ เดินหน้าสู่การพัฒนาอย่างมั่นคงและยั่งยืน

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
ด้านนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การสร้าง Ecosystem ที่เอื้อต่อการทำธุรกิจและการลงทุน (Ease of Doing Business และ Ease of Investment) เป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในสายตานานาชาติ โดยในปีที่ผ่านมา หอการค้าฯ ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐ 22 แห่ง นำร่องเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อลดขั้นตอน ลดการเรียกเอกสาร และยกเลิกการเซ็นสำเนา ซึ่งสามารถลดกระบวนการได้กว่า 500 รายการ และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า 7,000 ล้านบาทต่อปี ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพภาครัฐให้ทันสมัยและตอบโจทย์ผู้ประกอบการ
ทั้งนี้ รางวัล สำเภา–นาวาทองไม่ได้เป็นเพียงแค่การเชิดชูเกียรติ แต่ยังเป็นแรงผลักดันที่กระตุ้นให้หน่วยงานภาครัฐมุ่งมั่นพัฒนากระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินงานของภาครัฐมีความ มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจและประชาชนได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับปี 2568 รางวัล สำเภา–นาวาทอง แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ รางวัลระดับกระทรวง, ระดับกรม, ระดับกระบวนงาน และระดับภูมิภาค โดยมีหน่วยงานที่ได้รับรางวัลรวมทั้งสิ้น 39 หน่วยงาน นับเป็นหลักฐานชัดเจนถึงความมุ่งมั่นและความสำเร็จของภาครัฐในการยกระดับคุณภาพการให้บริการ เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป
อ่านข่าว:
พณ.รุกตลาดลาตินอเมริกา ถกโตโยต้าอาร์เจนตินา ดันนำเข้าอุปกรณ์ยานยนต์ไทย
สงครามราคาข้าวโลกแข่งดุ ฉุด 7 เดือนไทยส่งออกลดลง 25.09%
ต่างชาติลงทุนไทย 7 เดือน ขนเงินเข้าปท. 1.59แสนล้าน ญี่ปุ่นลงทุนมากสุด