ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

"มาริษ" เดินสายแจงปมไทย-กัมพูชา คุยรองข้าหลวงใหญ่ UN สัญญาณบวก

ต่างประเทศ
07:42
146
"มาริษ" เดินสายแจงปมไทย-กัมพูชา คุยรองข้าหลวงใหญ่ UN สัญญาณบวก
รมว.ต่างประเทศพบหารือเจ้าหน้าที่องค์การระหว่างประเทศ รวมถึงรองข้าหลวงใหญ่ยูเอ็น ชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาล่าสุด เผยการพูดคุยเป็นสัญญาณบวกที่ทำให้รองข้าหลวงใหญ่ฯ เข้าใจหลายเรื่องมากขึ้น

เมื่อวันที่ 27 ส.ค.2568 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ เข้าพบหารือทวิภาคีกับนางนาดา อัลนาชีฟ รองข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ณ สำนักงานใหญ่ สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ นครเจนีวา

รมว.ต่างประเทศ แสดงความมุ่งมั่นของไทยในการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชน และการดำเนินการตามหลักการและกฎหมายมนุษยชนระหว่างประเทศ รวมทั้งแสดงความพร้อมของไทยที่จะร่วมมือกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติอย่างใกล้ชิด

การเยือนเจนีวาครั้งนี้ นายมาริษยังได้ชี้แจงพัฒนาการล่าสุดในสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เพิ่มเติมจากที่เคยมีหนังสือถึงข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติถึง 2 ฉบับ ร้องเรียนการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ โดยกัมพูชา รวมถึงการลักลอบวางทุ่นระเบิดในเขตไทยจนส่งผลให้ทหารไทยบาดเจ็บสาหัสหลายคน และการใช้พลเรือนผู้หญิงและเด็กเป็นแนวหน้าในการยั่วยุให้เกิดการเผชิญหน้าบริเวณชายแดน

นายมาริษ เปิดเผยว่า การพูดคุยกับรองข้าหลวงใหญ่ฯ เป็นสัญญาณบวกที่ดี ทำให้รองข้าหลวงใหญ่ฯ เข้าใจมากขึ้นในหลายๆ เรื่อง ทั้งที่อยู่ในข่าว รวมทั้งเรื่องที่กัมพูชาใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการดึงแรงงานกัมพูชากลับไป ซึ่งทางไทยก็ให้กลับ แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อแรงงานกลุ่มดังกล่าว ซึ่งเดิมอยู่ในระบบแรงงานที่ถูกต้องตามกฏหมาย เมื่อกลับไปแล้วไม่มีงานทำก็หนีกลับมาอีกครั้ง แต่กลายเป็นแรงงานนอกระบบ

รมว.ต่างประเทศของไทย พบรัฐภาคีและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญในกรอบอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครเจนีวา เมื่อวันที่ 27 ส.ค.2568

รมว.ต่างประเทศของไทย พบรัฐภาคีและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญในกรอบอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครเจนีวา เมื่อวันที่ 27 ส.ค.2568

รมว.ต่างประเทศของไทย พบรัฐภาคีและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญในกรอบอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครเจนีวา เมื่อวันที่ 27 ส.ค.2568

นอกจากนี้ นายมาริษ ยังเข้าพบกับ น.ส.อิชิกาวะ โทมิโกะ เอกอัครราชทูต/ผู้แทนถาวรญี่ปุ่นประจำการประชุมด้านการลดอาวุธ ประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 22 หรืออนุสัญญาออตตาวา โดยมี น.ส.แคโรลีน-เมลานี เรกิมบัล หัวหน้าสำนักงานกิจการลดอาวุธแห่งสหประชาชาติ (UNODA) เข้าร่วมการหารือ

รมว.ต่างประเทศ ใช้โอกาสนี้แบ่งปันข้อมูลสำคัญและพัฒนาการล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์ของทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นพบทุ่นระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชาได้ลอบวางไว้ในพื้นที่อธิปไตยของไทย ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บและทุพพลภาพหลายคนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติและอนุสัญญาออตตาวาอย่างร้ายแรง

และได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาความน่าเชื่อถือของอนุสัญญาออตตาวา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการทำงานของคณะกรรมการที่ดูแลและกำกับการปฏิบัติตามอนุสัญญา และตอกย้ำการสนับสนุนอย่างแข็งขันของไทย รวมถึงบทบาทสำคัญของ UNODA ในการสนับสนุนการปฏิบัติตามอนุสัญญาดังกล่าว

ขณะเดียวกัน รมว.ต่างประเทศ ยังได้พบกับรัฐภาคีและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญในกรอบอนุสัญญาออตตาวา พร้อมย้ำว่าไทยเป็นประเทศที่รักสันติภาพ และมีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาฯ โดยเฉพาะด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อลดผลกระทบด้านมนุษยธรรมและส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดโดยตรง

ในการตอบโต้การละเมิดอนุสัญญาออตตาวาของกัมพูชา ไทยยึดหลักสากลและดำเนินการภายใต้กรอบของอนุสัญญาฯ โดยเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศดำเนินการทุกอย่างที่จะนำกัมพูชากลับสู่การปฏิบัติตามอนุสัญญาอย่างสมบูรณ์ ในขณะเดียวกันไทยยังคงพยายามแก้ปัญหาตามกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ควบคู่กันไป

พร้อมประกาศว่าไทยจะเข้าร่วมโครงการรณรงค์ของเลขาธิการสหประชาชาติว่าด้วยการลดอาวุธเพื่อมนุษยธรรมและปฏิบัติการทุ่นระเบิด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันยาวนานของไทย ทั้งในกรอบอนุสัญญาออตตาวา และกรอบการลดอาวุธเพื่อมนุษยธรรมและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

อ่านข่าว

ด่วน ทหารเหยียบกับระเบิดขาขวาขาด บริเวณปราสาทตาควาย

มทภ.2 ประณาม "กัมพูชา" หลังทหารไทยเหยียบกับระเบิดขาขาด

รมว.กลาโหมสวีเดนชี้ไทยมีสิทธิใช้ Gripen เพื่อป้องกันตนเอง