ทุกวันที่ 21 ก.ย. โลกจะร่วมฉลองวันสันติภาพโลก ซึ่งสหประชาชาติกำหนดขึ้นในปี 1981 เพื่อให้ทุกชาติและทุกคนหยุดใช้ความรุนแรงและหันมาสร้างความสงบ ปี 2025 นี้พิเศษมาก เพราะเป็นปีแห่งการครบรอบ 80 ปีของสหประชาชาติ ซึ่งก่อตั้งในปี 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงเพียงไม่กี่เดือน ด้วยแนวคิด "ลงมือทันทีเพื่อโลกที่สงบ" (Act Now for a Peaceful World)
สันติภาพไม่ได้มาเอง มันต้องเกิดจากการลงมือทำด้วยความกล้าและการประนีประนอม
เสียงเรียกร้องจาก เลขาธิการสหประชาชาติ อันโตนิโอ กูแตร์เรส ขอให้ทุกชาติหยุดการสู้รบ ปกป้องพลเรือน และแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ต้นเหตุ เช่น ความยากจน ความไม่เท่าเทียม และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
รายงานความเสี่ยงโลก 2025 จาก World Economic Forum เตือนว่า ความขัดแย้งระหว่างรัฐเป็นภัยอันดับ 1 ของโลกในปีนี้ สถานการณ์นี้เรียกว่า "ภาวะถดถอยทางภูมิรัฐศาสตร์" ซึ่งเกิดจากสงคราม ความตึงเครียดระหว่างชาติ และระบบความร่วมมือระหว่างประเทศที่อ่อนแอลง วันสันติภาพโลกจึงเป็นโอกาสให้เราคิดถึงวิธีหยุดความรุนแรงและสร้างโลกที่สงบขึ้น

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
จากดาบสู่โดรน วิวัฒนาการสงครามยุคดิจิทัล
ย้อนกลับไปในอดีต สงครามเริ่มจากเครื่องมือง่าย ๆ มนุษย์ยุคหินใช้หอก ขวาน และธนูที่ทำจากหินและไม้เพื่อต่อสู้แย่งชิงที่ดินหรืออาหาร ในยุคอารยธรรม เช่น อียิปต์ กรีก หรือโรม อาวุธพัฒนาเป็นดาบ โล่ และรถม้าศึก กองทัพโรมันใช้ยุทธวิธีที่เข้มงวดจนครองโลกได้ การรบสมัยนั้นต้องเจอหน้ากัน อาศัยพลังกายและจำนวนทหารเป็นหลัก สงครามมักเกิดจากความต้องการทรัพยากรหรือการขยายอำนาจ
ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อดินปืนถูกค้นพบในจีนราวศตวรรษที่ 9 และแพร่สู่ยุโรปในยุคกลาง ปืนใหญ่และปืนยาวทำให้การรบกลายเป็นการยิงจากระยะไกล ไม่ต้องประชิดตัว การปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 นำเครื่องจักรมาผลิตปืนกล รถถัง และเรือรบขนาดใหญ่ สงครามกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่คร่าชีวิตคนนับล้าน
สงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1914-1918 เป็นตัวอย่างชัดเจนของสงครามยุคอุตสาหกรรม ปืนกล แก๊สพิษ และการรบในสนามเพลาะทำให้มีผู้เสียชีวิต 16 ล้านคน สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939-1945 รุนแรงยิ่งกว่า ด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิด เรดาร์ และระเบิดนิวเคลียร์ที่ถล่มฮิโรชิมาและนางาซากิ มีผู้เสียชีวิตถึง 70 ล้านคน เมืองและชีวิตผู้คนถูกทำลายอย่างยับเยิน สงครามทั้ง 2 ครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าสามารถนำไปสู่หายนะได้หากขาดการควบคุม
หลังสงครามโลก โลกเข้าสู่ยุคสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี 1947-1991 ทั้ง 2 ฝ่ายแข่งกันสะสมอาวุธนิวเคลียร์และต่อสู้ด้วยแนวคิดทุนนิยมปะทะคอมมิวนิสต์ แม้ไม่มีการรบโดยตรง แต่มีสงครามตัวแทนในเวียดนาม เกาหลี และอัฟกานิสถาน วิกฤตคิวบาในปี 1962 ทำให้โลกเกือบเผชิญสงครามนิวเคลียร์ ความตึงเครียดนี้สร้างความหวาดกลัวไปทั่วโลก

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
วันนี้ สงครามเปลี่ยนไปมาก ไม่ต้องใช้ทหารจำนวนมากเหมือนก่อน แต่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การโจมตีทางไซเบอร์สามารถปิดระบบไฟฟ้า ขโมยข้อมูลลับ หรือทำลายเศรษฐกิจโดยไม่ต้องยิงปืน เช่น การแฮกระบบธนาคารหรือโรงพยาบาล โดรนกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในสงครามสมัยใหม่ เช่น ในยูเครน โดรนถูกใช้สอดแนมและโจมตีเป้าหมายจากระยะไกล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลศัตรู ทำนายการเคลื่อนไหว และควบคุมอาวุธอัตโนมัติ ทำให้สงครามเร็วและอันตรายยิ่งขึ้น ตามข้อมูลของ The Evolution of Cyber Operations in Armed Conflict
สงครามข้อมูล เช่น ข่าวปลอมในโซเชียลมีเดีย สามารถปลุกปั่นความเกลียดชังและแบ่งแยกสังคมได้โดยไม่ต้องใช้กำลัง World Economic Forum ระบุว่า การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน เช่น การพัฒนา AI และเทคโนโลยีดิจิทัล กำลังเปลี่ยนสมดุลอำนาจโลก

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
วาทกรรมผู้นำโลก ถ้อยคำสร้างอำนาจในยุคแห่งการแข่งขัน
จากเอกสารวิชาการ Geopolitics in the digital age: the U.S.-China competition through their narratives on digital technologies ปัจจุบัน ผู้นำโลกมักใช้ "วาทกรรม" เพื่อกำหนดทิศทาง เช่น สหรัฐฯ เน้นความมั่นคงและการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี ขณะที่จีนเน้นความเป็นอิสระทางดิจิทัลและการลดความเหลื่อมล้ำ วาทกรรมเหล่านี้ทำให้เกิดความตึงเครียด เพราะแต่ละชาติต้องการครองอำนาจด้านเทคโนโลยี
รายงานของ World Economic Forum ชี้ว่า จำนวนความขัดแย้งทั่วโลกในปี 2022 สูงถึง 56 แห่ง มากที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ความขัดแย้งเหล่านี้มักเป็น "สงครามที่ไม่รู้จบ" เพราะไม่มีทางออกชัดเจน ไม่ว่าจะผ่านการรบหรือเจรจา
ความสูญเสียจากสงครามยังคงรุนแรง ปี 2023 ความรุนแรงทั่วโลกสร้างความเสียหาย 19.1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ ร้อยละ 13.5 ของเศรษฐกิจโลก เท่ากับคนละ 2,380 ดอลลาร์/คนทั่วโลก สงครามในยูเครนทำให้เศรษฐกิจหดตัวร้อยละ 30 ในปี 2022 สงครามในซีเรียทำให้ GDP ลดลงร้อยละ 85 ในรอบสิบปี ผู้ลี้ภัยทั่วโลกมีถึง 95 ล้านคนเพราะความขัดแย้งเหล่านี้ นอกจากนี้ ความขัดแย้งยังทำลายสิ่งแวดล้อมและขยายความเหลื่อมล้ำในสังคม

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
กฎหมายมนุษยธรรม "หลักประกัน" สุดท้ายในยุคแห่งความขัดแย้ง
วันสันติภาพโลกชวนให้คิดว่า ทำไมมนุษย์ยังเลือกสงคราม ? เทคโนโลยีควรช่วยให้ชีวิตดีขึ้น ไม่ใช่ทำลายล้าง ใช่หรือไม่ ? คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) พยายามผลักดันกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL) เพื่อปกป้องพลเรือนและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในความขัดแย้ง เช่น ห้ามโจมตีโรงพยาบาลหรือโรงเรียน
หากเป็นไปได้ ในวันสันติภาพโลก ควรเป็นโอกาสให้โลกได้ใช้เทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์ เช่น ใช้ AI คาดการณ์ความขัดแย้งเพื่อป้องกันล่วงหน้า หรือใช้โดรนส่งอาหารและยาให้ผู้เดือดร้อน การพูดคุยระหว่างวัฒนธรรม การส่งเสริมการศึกษา และการหยุดเผยแพร่ข่าวปลอม เพื่อช่วยลดความเกลียดชังและสร้างความเข้าใจในสังคม เพื่อผลดีต่อสันติสุขของมนุษยชาติและสันติภาพโลก

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
วันสันติภาพโลก 2025 เป็นมากกว่าวันรำลึก แต่เป็นการเรียกร้องให้ทุกคนลงมือทำ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนความเท่าเทียม การช่วยเหลือชุมชน หรือการเรียนรู้เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติ แม้สงครามจะเปลี่ยนจากดาบสู่ AI แต่ความหวังในสันติภาพยังคงอยู่ ถ้าเราร่วมมือกัน เรียนรู้จากอดีต และเลือกเจรจาแทนการต่อสู้ โลกที่สงบสุขย่อมเป็นไปได้ วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นให้เราสร้างอนาคตที่ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
ที่มาของข้อมูล :
- United Nations. (2025). International Day of Peace 2025: Act Now for a Peaceful World.
- World Economic Forum. (2025). Global Risks Report 2025.
- International Committee of the Red Cross. (2024). International Humanitarian Law and Contemporary Armed Conflicts.
- Institute for Economics & Peace. (2024). Global Peace Index 2024.
อ่านข่าวอื่น :
Meta เปิดตัวแว่นตา AI เชื่อมคนกับโลกผ่านเลนส์ ลดการใช้สมาร์ตโฟน