ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ถอดรหัส "เปรต" รูปกายออกแบบโดยกรรม ใช้ทุกข์สอนธรรมให้มนุษย์

สังคม
15:05
52
ถอดรหัส "เปรต" รูปกายออกแบบโดยกรรม ใช้ทุกข์สอนธรรมให้มนุษย์
"เปรต" ในพุทธศาสนาไม่ใช่แค่เรื่องผีหรือความเชื่องมงาย แต่เป็นสัญลักษณ์ของกรรมชั่วจากความโลภและความตระหนี่ เปรตมี 37 ประเภทที่รูปร่างแตกต่างตามบาปที่ทำ ในอาเซียนมีความเชื่อเรื่องเปรตที่ผูกกับการส่งเสริมความกตัญญูและการทำบุญอุทิศให้ดวงวิญญาณ

ในช่วงฤดูสารทของไทย โดยเฉพาะเดือนกันยายน-ตุลาคม หลายชุมชนในภาคใต้ของประเทศไทยจะคึกคักไปด้วย "ประเพณีชิงเปรต" ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่มีรากฐานจากความเชื่อในพุทธศาสนา ชาวบ้านจะนำอาหาร ขนม และของใช้ไปแขวนไว้บนต้นไม้หรือเสา แล้วให้คนในชุมชนมาแย่งชิงกันอย่างสนุกสนาน เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เปรตและดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่เชื่อว่ากำลังหิวโหยในภพภูมิอื่น

การชิงเปรตไม่เพียงแต่เป็นกิจกรรมที่สร้างความสามัคคีในชุมชน แต่ยังเป็นการแสดงความกตัญญูต่อผู้ล่วงลับ และเตือนใจให้คนรุ่นใหม่ระวังการทำบาปที่อาจนำไปสู่สภาวะเปรต

คำว่า "เปรต" จากภาษาบาลี Peta หรือสันสกฤต Preta เป็นที่รู้จักกันดีในสังคมไทยตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ผู้เฒ่าผู้แก่มักเล่าเรื่องเปรตเพื่อสอนเด็ก ๆ ให้รู้จักแบ่งปัน อย่าตระหนี่ และให้กลัวผลของกรรมชั่ว

ภาพจำของเปรตที่คนไทยคุ้นเคยคือผีตัวสูงใหญ่เท่าต้นตาล มือใหญ่เท่าใบลาน ปากเล็กเท่ารูเข็ม แต่ในความเป็นจริง เปรตมีหลายประเภทและมีบทบาทสำคัญในพุทธศาสนาในฐานะเครื่องมือสอนธรรม เพื่อให้มนุษย์ตระหนักถึงผลของความโลภและการกระทำผิด

จักรวาล "เปรต" สัญลักษณ์ของความทุกข์จากกรรม

บทความเรื่อง Bringing Hungry Ghosts Out of Hiding จากนิตยสาร The Buddhist review ระบุว่า ในพุทธศาสนา เปรตเป็นหนึ่งในสัตว์ในอบายภูมิ ซึ่งเป็นภพภูมิที่ต่ำกว่ามนุษย์ ประกอบด้วย นรก เปรต เดรัจฉาน และ อสูรกาย

เปรตมีสถานะโทษเบากว่านรกและเดรัจฉาน แต่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความหิวกระหายอย่างรุนแรง อันเป็นผลจาก กรรมชั่ว โดยเฉพาะความตระหนี่ (Matsarya) และความโลภในอดีตชาติ เปรตจึงถูกมองว่าเป็น "ครูผู้สอนธรรม" ที่ใช้ร่างกายและความทุกข์ของตนเองแสดงให้เห็นถึงผลร้ายของการทำชั่ว

วารสารวิจยวิชาการ เรื่อง ศึกษาวิเคราะห์เปรตในสังคมไทย โดย พระประพันธ์ ชาตเมโธ (สีผึ้ง), ศิริโรจน์ นามเสนา และ พระศรีสมโพธ อธิบายถึงประเภทของเปรตไว้ว่า ตามคัมภีร์พุทธศาสนา เช่น Saddharmasmṛtyupasthānasūtra และอรรถกถาในสายเถรวาท เปรตถูกจำแนกออกเป็น 37 ประเภท แต่เอกสารวิชาการบางฉบับก็จำแนกไว้ 36 ประเภท ส่วนในคัมภีร์โลกบัญญัติปกรณ์ และคัมภีร์ฉคติทีปนีปกรณ์ แบ่งเป็น 12 ตระกูล และในพระวินัย และลักขณสังยุตต์พระบาลี แบ่งเปรตเป็น 21 จำพวก

โดยแต่ละประเภทมีรูปลักษณ์และความทุกข์ที่แตกต่างกันตามกรรมที่ทำไว้ บทความนี้ขอยกตัวอย่างเปรตที่น่าสนใจ ได้แก่

  • สุจิมุขาเปรต - ปากเล็กเท่ารูเข็ม กินอาหารไม่พอ เพราะเคยตระหนี่ ไม่ยอมแบ่งปันอาหารหรือถวายทาน
  • สัพพังคาเปรต - เล็บยาวแหลมเหมือนมีด ข่วนตัวเองกินเลือดเนื้อ เพราะเคยชอบเบียดเบียน ขูดรีด หรือทำร้ายพ่อแม่ หรือ คู่ครอง
  • คูถขาทาเปรต - กินอุจจาระเป็นอาหาร เพราะเคยพูดจาดูถูก ขับไล่ พร้อมชี้ให้ไปกินของสกปรกแทนอาหาร
  • ตัณหาชิตาเปรต - หิวกระหายตลอดเวลา หาน้ำกินไม่ได้ เพราะเคยปิดสระ ปิดบ่อ หวงข้าวน้ำไม่ให้คนอื่นใช้
  • นิชฌามักกาเปรต - ร่างดำสูงใหญ่ น่ากลัวเหมือนตอไม้เผา เพราะเคยหยาบคาย ขับไล่พระหรือแม้แต่แกล้งพ่อแม่
  • เวมานิกเปรต - มีวิมานทิพย์ แต่สุขสลับทุกข์กลางวันกลางคืน เพราะเคยทำบุญไว้ แต่ไม่รักษาศีล หรือทำบุญแบบไม่จริงใจ
  • มหิทธิกาเปรต - หน้าตางดงามเหมือนเทวดา แต่ต้องกินของสกปรก เพราะเคยบวชแต่ไม่ปฏิบัติธรรม เอาแต่รักษาศีลอย่างเดียวโดยไม่พากเพียร
รูปลักษณ์เปรตเหล่านี้ถูกออกแบบโดยกฎแห่งกรรม เพื่อให้เปรตต้องทนทุกข์ตามบาปที่ทำไว้ ไม่ใช่เพื่อสร้างความกลัวแบบงมงาย แต่เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้มนุษย์ละเว้นจากความชั่วและทำความดี

เปรตในวัฒนธรรมอาเซียน

ความเชื่อเรื่องเปรตมีอิทธิพลอย่างมากในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศที่มีพุทธศาสนาเถรวาทเป็นรากฐาน เช่น ไทย กัมพูชา ลาว และเมียนมา

1.ปจุมเบญในกัมพูชา

ในกัมพูชา เทศกาล ปจุมเบญ (Pchum Ben) หรือ "วันรวมญาติ" เป็นพิธีกรรมสำคัญที่จัดขึ้นนาน 15 วันในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม ชาวกัมพูชาเชื่อว่าในช่วงนี้ พญายมราชจะเปิดประตูอบายภูมิให้เปรตกลับมายังโลกมนุษย์เพื่อค้นหาอาหารและส่วนบุญจากลูกหลาน ญาติ ๆ จะนำอาหารไปถวายที่วัดเพื่ออุทิศให้เปรต หากเปรตได้รับส่วนบุญจะให้พรแก่ลูกหลาน แต่ถ้าไม่พบอาหารหรือบุญ อาจสาปแช่งให้ครอบครัวหิวโหยเหมือนตน พิธีนี้จึงเป็นการแสดงความกตัญญูและช่วยให้ดวงวิญญาณบรรพบุรุษพ้นจากความทุกข์ทรมาน

2.ประเพณีสารทและชิงเปรตในไทย

ในประเทศไทย ประเพณีสารทไทย โดยเฉพาะการชิงเปรต เป็นพิธีที่สะท้อนความเชื่อเรื่องเปรตอย่างชัดเจน ชาวบ้านจะนำอาหาร ขนม และของใช้ไปแขวนไว้ให้คนมาแย่งชิง เพื่อเลียนแบบการส่งของให้เปรตที่หิวโหย นอกจากนี้ วัดหลายแห่ง เช่น วัดในจังหวัดพิจิตร สร้างรูปปั้นเปรตขนาดใหญ่ที่มีลักษณะน่ากลัว เช่น ตัวสูง ปากเล็ก หรือท้องใหญ่ เพื่อเป็น อุทาหรณ์ สอนเยาวชนให้เห็นภาพผลของกรรมชั่ว เช่น การผิดศีล 5 หรือการตระหนี่ไม่แบ่งปัน

อ่านข่าว : สืบสาน "สารทเดือนสิบ" พัฒนาเมืองแห่งทุนวัฒนธรรมที่ยั่งยืน

3.บุญข้าวปะตาปินในลาว

ความเชื่อเรื่องเปรตในประเทศลาวปรากฏในชื่อ "Phi Ped" (ผีเป็ด / ผีผีด) ซึ่งเป็นผีที่อดอยาก หิวโหย คล้ายเปรตตามตำนานพุทธฯ ถือว่าเป็นกรรมที่ทำในชาติก่อน เช่น ตระหนี่ หรือไม่ช่วยเหลือคนยากจน เป็นต้น มีเรื่องเล่าพื้นบ้านว่า Phi Ped จะมีลักษณะท้องโต คอแคบ กินอะไรไม่พอ และมีประเพณีพื้นบ้านเด่น ๆ คือ เทศกาลบุญข้าวปะตาปิน (Boun Khao Padap Din) ที่ในช่วงนั้นมีการถวายอาหารให้แก่ดวงวิญญาณ หรือเปรต เพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณที่อยู่ในภพทุกข์ให้ได้รับบุญ

4.เปรตใต้ดินในเมียนมา

ความเชื่อเรื่องเปรตมีอยู่ในนิทานพื้นบ้านและพิธีกรรมความตาย เช่น เชื่อว่ามีวิญญาณของคนที่ทำกรรมไม่ดี ยึดมั่นในความโลภ ความโกรธ หรือไม่ทำบุญให้แก่ผู้ที่เดือดร้อน อาจไปเกิดเป็นเปรตอยู่ใต้ดินหรือในที่ไม่สะอาด และแม้จะรู้ว่าเป็นเปรตก็ไม่มีทางช่วยให้พ้นได้ง่าย เพราะถือเป็นผลกรรม เรื่องนี้ถูกบันทึกในคำบอกเล่าใน "Hungry Ghost in Burma" ชาวนาจะพบว่าเปรตอยู่ใต้ดิน บางครั้งเมื่อไถนาก็รู้สึกถึงความเป็นอยู่ของเปรต 

เปรตยุคใหม่ คือ ความโลภในใจมนุษย์

ในยุคปัจจุบัน พุทธศาสนาเน้นการปฏิบัติที่จิตใจมากกว่าการยึดติดกับความเชื่อเรื่องโลกหลังความตาย ภาวะเปรต จึงไม่จำเป็นต้องรอถึงชาติหน้า แต่เกิดขึ้นได้ในชาตินี้ เมื่อจิตใจของเราถูกครอบงำด้วย ความโลภ หรือความอยากที่ไม่รู้จักพอ สภาวะนี้ เอกสาร นรก-สวรรค์ในพระไตรปิฎก โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เรียกว่า "จิตใจเปรต" (Hungry ghost mentality) ซึ่งทำให้เราทุกข์ทรมาน แม้จะมีทรัพย์สินหรือความสำเร็จมากเพียงใด

ตัวอย่างของ จิตใจเปรตในยุคดิจิทัล คือการหมกมุ่นกับความสำเร็จ เงินทอง หรือชื่อเสียง ไม่เคยรู้สึกพอเพียง แม้จะมีมากแค่ไหนก็ตาม เช่น การเลื่อนดูโซเชียลมีเดียอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น หรือการสะสมทรัพย์สมบัติโดยไม่แบ่งปัน สภาวะนี้ทำให้จิตใจหิวโหยและทุกข์ทรมาน เหมือนเปรตที่กินอะไรไม่เคยอิ่ม

เรื่องราวของเปรตในพุทธศาสนาจึงไม่ใช่แค่เรื่องเล่าเกี่ยวกับผีที่น่ากลัว แต่เป็นเครื่องมือสอนจริยธรรมที่ลึกซึ้ง ผ่านรูปลักษณ์และความทุกข์ของเปรต ที่เกิดจากผลร้ายของความโลภ ความตระหนี่ และการขาดสติ ในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุ ภาวะเปรตในใจเป็นภัยใกล้ตัวที่ทุกคนต้องเผชิญ การปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนา เช่น การให้ทาน รักษาศีล และเจริญสติ จึงเป็นหนทางที่ช่วยให้เราพ้นจากความทุกข์และสร้าง สวรรค์ในใจ ได้ในปัจจุบันขณะ 

ที่มาข้อมูล : The Buddhist reviewนรก-สวรรค์ในพระไตรปิฎกCaring for the Dead Ritually in CambodiaThe Thirty-Six Categories of "Hungry Ghosts"วิเคราะห์เปรตในสังคมไทยเปรตในพระไตรปิฎก

อ่านข่าวอื่น :

"พินทองทา-ปิฎก" เข้าเยี่ยม "ทักษิณ" ในเรือนจำ มีคิวพบแพทย์

"พลอยทะเล" ย้ายซบภูมิใจไทย เหตุ "ประชาธิปัตย์" มีปัญหาภายใน