พรรคประชาชน โดย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ์ โฆษกพรรค ตั้งโจทย์ตรวจสอบรัฐบาล 4 ประเด็นใหญ่ เริ่มจากวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ใน 4 คำถามสำคัญ ตั้งแต่ 1) ตรวจสอบตามเงื่อนไข MOA โดยเฉพาะเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2) ตรวจสอบประเด็นที่สังคมกังขา ทั้งคดีฮั้ว สว. และที่ดินเขากระโดง 3) นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการ “คนละครึ่ง” และการใช้งบ ปี 2569 และ 4) ตรวจสอบคณะรัฐมนตรี ทั้งเรื่องขาดคุณสมบัติและเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
ซึ่งโจทย์ที่ 2 และ 4 ถือเป็นเรื่องที่กระแสสังคมให้ความสนใจอย่างมาก ทั้งก่อนหน้านี้ได้ถูกตั้งข้อสังเกตมาก่อนแล้ว กรณีเขากระโดง แม้สุดท้าย อธิบดีกรมที่ดินคนใหม่ ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยตั้งขึ้น เพื่อภารกิจนี้เป็นการเร่งด่วน
แต่ทันทีที่เปลี่ยนรัฐบาล ได้ไม่ประกาศเพิกถอน ขณะที่รายชื่อ ครม.ที่เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก สุดท้ายกลายเป็นถูกตั้งปุจฉาถึงความโปร่งใสและเหมาะสม ในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่ประพฤติตนเข้าข่ายฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง
นายพริษฐ์ สำทับจุดยืนของค่ายสีส้มว่า พร้อมตรวจสอบแบบไม่อุ้มใคร และไม่กังวลเรื่องรัฐบาลกลายร่างเป็นเสียงข้างมาก หลังเปิดตัว สส.และเตรียมเปิดเพิ่มเติม สส.จากหลายพรรคเข้ามาเสริมฝ่ายรัฐบาล แม้จะขัดกับเอ็มโอเอที่ทำไว้ ข้อห้ามว่าด้วยการเพิ่มจำนวน สส.จากการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย
ส่วนพรรคเพื่อไทย ได้ประกาศจุดยืนผ่านทั้งรองโฆษกพรรค นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ และอดีตโฆษกรัฐบาล นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ระบุว่า จะทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลตามระบอบรัฐสภา แต่ไม่ขอเป็นฝ่ายค้านตาม MOA ระหว่าง “สีส้ม” กับ “สีน้ำเงิน” ซึ่งพรรคประชาชน เป็นผู้ให้การสนับสนุน จึงต้องร่วมรับผิดชอบต่อการขับเคลื่อนของรัฐบาลชุดนี้
ไม่เพียงเท่านั้นทั้งซัดว่า ผู้คนทั่วไปเริ่มครหาตั้งแต่ต้นว่า รัฐบาลไม่ได้ตั้งมาเพื่อยุบสภาดังที่อ้าง แต่ตั้งมาเพื่อยุบคดีของค่ายสีน้ำเงินมากกว่า ขณะที่รายชื่อรัฐมนตรีที่ออกมา ได้สร้างความกังวลให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มรัฐมนตรีปราสาทสายฟ้า ที่มีนัยเปรียบเทียบในทีว่า เพราะ “ปราสาทสายฟ้า” เป็นสมญาของสโมรสรฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด มีขนาดใหญ่โตและมีอานุภาพในการดึงดูดฟ้าผ่า มากกว่าสายล่อฟ้าปกติธรรมดาทั่วไป
พรรคค่ายสีแดงจึงไม่ได้มีส่วนร่วมที่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น กับ MOA ที่เกิดขึ้น ยืนยันไม่เป็นนั่งร้านให้ใคร เพราะเป็นที่มาของดีลแปลกประหลาด ก่อเกิดขึ้นด้วยกลไกที่ไม่ปกติ เนื่องจากพรรคสีส้มเป็นฝ่ายค้านในสภา แต่กลับไปโหวตสนับสนุนพรรคสีน้ำเงินเป็นรัฐบาล ต้นเหตุทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในคณะรัฐมนตรีชุดดังกล่าว
นำไปสู่การกระกาศจุดยืนสำคัญ คือพรรคเพื่อไทยไม่ส่ง สส.ไปเป็นวิปฝ่ายค้ายร่วมกับพรรคประชาชน
กรณี “รัฐมนตรีปราสาทสายฟ้า” ตามที่พรรคเพื่อไทยใช้เรียก ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีรัฐมนตรีไม่ต่ำกว่า 5-6 คน ถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้ ทั้งในเรื่องประวัติ ความซื่อสัตย์สุจริต และเรื่องฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ที่เข้มแข็งตามรัฐธรรมนูญ “ปราบโกง” ปี 2560 กระทั่งนายเศรษฐา ทวีสิน ถูกสอยจากตำแหน่งนายกฯ จากการแต่งตั้งคนที่มีคุณสมบัติต้องห้ามเป็นรัฐมนตรี และในการฟอร์ม ครม. รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก กระทั่งรัฐมนตรีหน้าเดิมต้องยอมถอยไปหลายคน
ในกลุ่มรัฐมนตรีประเภทสายล่อฟ้า ยังรวมถึงกรณี สส.ระยอง พรรคประชาชน นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ ที่เปิดเผยข้อมูลว่า มีรัฐมนตรีบางคน ถูกชี้มูลความผิดโดย ป.ป.ช.เมื่อปี 2565 มีพฤติการณ์ทุจริตเบิกจ่ายงบประมาณโครงการและมีการจ่ายเงินทั้งที่ยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งขู่จะเปิดเผยชื่อรัฐมนตรีคนดังกล่าว ในวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
ขณะเดียวกัน สำนักข่าวอิศรา ได้เปิดประเด็น มีรัฐมนตรีระดับว่าการคนหนึ่ง ในรัฐบาลชุดใหม่ กำลังอยู่ในระหว่างถูกตรวจสอบความร่ำรวยผิดปกติจาก ป.ป.ช. จากการพบเส้นเงินรวมกว่า 20 ล้านบาท โอนเข้าบัญชีธนาคารส่วนตัว มาจากทั้งฝากผ่านตู้เอทีเอ็ม ผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร และผ่านการโอนเงิน ระหว่างปี 2562-2566 มากกว่า 160 ครั้ง โดยไม่ทราบที่มาชัดเจน
ทั้งตั้งข้อสังเกตความผิดปกติ เนื่องจากบางวันโอนถึง 9-10 ครั้ง ครั้งละ 1 แสนบาท แทนที่จะโอนครั้งเดียว และยังมีการโอนเงินต่อไปยังผู้ช่วย สส.คนหนึ่งในภาคใต้ อย่างไรก็ดี ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนชงเรื่องให้ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ พิจารณา ตั้งกรรมการไต่สวน ยังไม่ได้มีการสรุปชัดเจน
แต่ข้อมูลดังกล่าว ยิ่งตอกย้ำความแคลงใจใน ครม.ชุดใหม่ ที่นายอนุทินย้ำว่า ไม่มีปัญหา และผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว
ส่วนเรื่องขาดเอกภาพของฝ่ายค้าน 2 พรรคใหญ่ ก่อเกิดคำถามตามมา เมื่อทั้ง 2 พรรคต่างอ้างจะทำหน้าที่ตรวจสอบในสภา แต่พรรคเพื่อไทย จะไม่ร่วมส่งวิปฝ่ายค้านไปร่วมงานกับพรรคประชาชน แล้วในทางปฏิบัติจะเป็นอย่างไร ประชาชนทั่วไป จะเกิดความเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ สส. ผ่านกลไกรัฐสภาได้อย่างไร
ที่น่าสนใจต่อเนื่องตามมาอีก คือการตรวจสอบรัฐบาล ทั้งผ่านการตั้งกระทู้สด หรือแม้แต่การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 151 ที่ต้องมีการลงมติ สส. หากพรรคประชาชน จะยื่นญัตติซักฟอก พรรคเพื่อไทยจะร่วมเข้าชื่อด้วยหรือไม่
หากไม่ร่วมลงชื่อ หรือร่วมอภิปราย แต่ถึงขั้นตอนลงมติกลับไม่ออกเสียง “ไม่ไว้วางใจ” ตามพรรคประชาชน เสียงโหวตที่หวังล้มรัฐบาล จะมีเสียงไม่เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯที่มีอยู่ เท่ากับรัฐบาลจะได้ไปต่อ เอ็มโอเอถูกฉีกโดยปริยาย
เพราะตอนนี้ในทางปฏิบัติ การเมืองไทยกลายเป็น 3 ขั้ว พรรคภูมิใจไทย เป็นแกนนำรัฐบาลแต่เป็นเสียงข้างน้อย ขณะที่พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชน แม้จะเป็นฝ่ายค้านทั้งคู่ แต่แบ่งข้างกันชัดเจน กลายเป็น 3 ขั้ว นัวเนียนุงนังให้ผู้คนต้องติดตามด้วยใจระทึกนับจากนี้ไป
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : ทีมทนายวัดนาป่าพง หอบเอกสารเข้าพบ พนง.สอบสวนกองปราบ
แท็กที่เกี่ยวข้อง: