ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มาเลเซียพยายามวางตัวเป็นกลางในสังเวียนชิงอิทธิพลจีน-สหรัฐฯ โดยความท้าทายหนึ่ง คือ ความพยายามในการช่วยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ซึ่งมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนเข้ามาเล่นบทนำ และมี 2 มหาอำนาจโลกอย่างจีนกับสหรัฐฯ คอยเป็น Back-up ให้ แต่ดูเหมือนว่า เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ พยายามเข้ามาแย่งซีนบนเวทีเจรจานี้ ผู้นำมาเลเซียอาจจะต้องตกที่นั่งลำบาก
ที่มาของความลำบากใจนี้ มาจากรายงานข่าวของ Politico สื่ออเมริกันที่จับเรื่องการเมืองเป็นหลัก ซึ่งรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า ทำเนียบขาวตั้งเงื่อนไขว่า ถ้าผู้นำสหรัฐฯ จะมาร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ในวันที่ 26-28 ต.ค.นี้ รัฐบาลมาเลเซียจะต้องเห็นชอบในการยอมให้ทรัมป์นั่งเป็นประธานในพิธีลงนามข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทยกับกัมพูชา
นอกจากนี้ ยังขอเป็นพิเศษว่า มาเลเซียจะต้องกันเจ้าหน้าที่จีนออกจากงานพิธีลงนามดังกล่าวด้วย โดยสหรัฐฯ อ้างเหตุผลว่า จีนไม่ได้มีบทบาทในการเจรจาที่เกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่ถ้าย้อนไปดูภาพโต๊ะเจรจาไทย-กัมพูชาก่อนหน้านี้ที่มีมาเลเซียเป็นโต้โผ ก็จะเห็นผู้แทนจากสหรัฐฯ และจีนนั่งขนาบข้าง ขณะที่จีนมักใช้โอกาสระหว่างการหารือทวิภาคีกับไทยและกัมพูชา คุยเรื่องการยุติความขัดแย้ง ในขณะเดียวกันก็เปิดโต๊ะเจรจา 3 ฝ่ายด้วย
ท่าทีสหรัฐฯ อาจตีความได้ว่า ทรัมป์กำลังบีบให้ผู้นำมาเลเซียต้องเลือกข้างหรือไม่ แต่จริง ๆ แล้ว รัฐบาลมาเลเซียไม่อยู่ในจุดที่จะเทใจให้ใครคนใดคนหนึ่งได้ หลังจากชาวมาเลเซียมีมุมมองเป็นมิตรกับจีนเพิ่มขึ้น โดยผลสำรวจความคิดเห็นเมื่อปีที่แล้ว ชี้ว่า คนเชื้อสายมาเลย์รู้สึกชอบจีนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 28 เมื่อปี 2565 เป็นร้อยละ 73
ชาวมาเลเซียมองจีนในมุมบวกเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าในช่วงเวลาห่างกันเพียง 2 ปี ขณะที่กว่า 8 ใน 10 คน เชื่อว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศดีขึ้น และการลงทุนของจีนทำให้มาเลเซียได้ประโยชน์มาก ซึ่งความคิดเห็นเชิงบวกเช่นนี้สวนทางกับความรู้สึกของชาวมาเลเซียที่มีต่อสหรัฐฯ โดยสาเหตุหลักมาจากสงครามในกาซา
ชาวมาเลเซียยืนเบียดกันจนแน่นอาคารผู้โดยสารที่สนามบินในกรุงกัวลาลัมเปอร์ในช่วงเช้ามืดเมื่อวันที่ 8 ต.ค. บางคนโบกธงปาเลสไตน์เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงการสนับสนุน
พวกเขาออกมารวมตัวกัน เพื่อรอต้อนรับนักเคลื่อนไหวชาวมาเลเซีย 23 คน ที่เดินทางกลับประเทศ หลังได้รับการปล่อยตัวจากอิสราเอล โดยนักเคลื่อนไหวกลุ่มดังกล่าวร่วมโดยสารไปกับกองเรือ Global Sumud เพื่อลำเลียงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปยังกาซา แต่ถูกกองทัพเรืออิสราเอลเข้าสกัดและถูกควบคุมตัวขึ้นฝั่ง
ตลอดช่วง 2 ปีนับตั้งแต่เกิดสงครามในกาซา มาเลเซียเคลื่อนไหวสนับสนุนปาเลสไตน์อย่างต่อเนื่อง พร้อม ๆ กับความไม่พอใจโดนัลด์ ทรัมป์ และรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์สนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในกาซา โดยไม่สนใจวิกฤตมนุษยธรรมที่ชาวกาซากว่า 2,000,000 คน ต้องเผชิญ
นอกจากความเห็นของประชาชนที่ทำให้ผู้นำมาเลเซียเลือกข้างไม่ได้แล้ว ยังมีประเด็นเรื่องเศรษฐกิจด้วย เพราะถ้าดูมูลค่าการค้าและการลงทุนของมาเลเซียกับมหาอำนาจทั้ง 2 ประเทศ จะเห็นว่า มาเลเซียทิ้งชาติไหนไปไม่ได้เลย
จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของมาเลเซีย ตัวเลขเมื่อปีที่แล้ว สูงทะลุ 110,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่สหรัฐฯ นอกจากจะเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่กว่า 47,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้ว ยังเป็นประเทศที่ลงทุนในมาเลเซียสูงที่สุดด้วย มูลค่าเกือบ ๆ 7,800 ล้านดอลลาร์
Global Times สื่อกระบอกเสียงของทางการจีน เผยแพร่ภาพการลำเลียงทหารขึ้นเรือ ก่อนที่จะออกเดินทางไปยังมาเลเซียเมื่อวานนี้ เพื่อเข้าร่วมการซ้อมรบ Peace and Friendship-2025 ที่เตรียมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-23 ต.ค.นี้ ในมาเลเซียและบริเวณน่านน้ำใกล้เคียง
การซ้อมรบร่วมจีน-มาเลเซียครั้งนี้ จะเน้นไปที่ภารกิจช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การบรรเทาภัยพิบัติและการยกระดับความมั่นคงทางทะเลเพื่อรับมือกับโจรสลัด โดยจะมีทหารเข้าร่วมทำภารกิจทั้งหมดกว่า 1,000 นาย พร้อมด้วยอาวุธครบครัน ซึ่งความเคลื่อนไหวนี้ยิ่งสะท้อนถึงความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศที่รุกคืบเข้ามาในมิติด้านกลาโหมด้วย
ไม่ว่าจะหันไปมองสหรัฐฯ หรือจีน ดูแล้วมาเลเซียน่าจะเลือกไม่ถูกและเลือกไม่ได้ด้วย เพราะผลประโยชน์ตัดกันไม่ขาดจริง ๆ ดังนั้น ตอนนี้ต้องรอดูฝีมือของผู้นำที่ชื่ออันวาร์ อิบราฮิม ว่า จะเล่นเกมถ่วงดุลมหาอำนาจได้ดีแค่ไหน มาเลเซียเป็นประธานอาเซียนรอบนี้ เจอแต่งานหิน ๆ ทั้งนั้น
อ่านข่าวอื่น :
"ทรัมป์" จ่อเยือนอียิปต์ เชื่ออิสราเอล-ฮามาสใกล้บรรลุหยุดยิง
"อนุทิน" เผยเตรียมตอบกลับ "ทรัมป์" กรณีขอเป็นตัวกลางเจรจาปัญหาชายแดน