วันนี้ (10 ต.ค.2568) ในอดีต คนมักพูดกันว่า มีเงินมีทองก็เก็บเอาไว้ดี ๆ จะได้มีใช้ยามจำเป็น แต่ตอนนี้ ถ้าต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นใครก็ต้องเลือกทอง แถมยังยอมควักเงินที่มีอยู่ออกมาจ่ายเงินซื้อทองไปเก็บด้วย
บรรยากาศหน้าร้านทองแห่งหนึ่งในกรุงฮานอย เมื่อวันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา ชาวเวียดนามยืนรอเข้าไปซื้อทอง จนแน่นเต็มบันไดหน้าร้าน ขณะที่ภาพบรรยากาศการซื้อทองคึกคักเช่นนี้ยังเห็นได้ในร้านทองอีกหลาย ๆ แห่ง ซึ่งบางส่วนเอาทองมาขาย แต่ส่วนใหญ่ บอกว่า ต้องรีบซื้อทองมาเก็บเอาไว้เก็งกำไร เพราะเชื่อว่าราคาจะขึ้นไปอีกแน่ ๆ
โดยเริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เวียดนามอนุญาตให้บริษัทต่าง ๆ นำเข้าทองได้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการรักษาเสถียรภาพของราคาทองในประเทศที่พุ่งสูงขึ้นไม่หยุด เพราะความต้องการทองที่เพิ่มมากขึ้น
ส่วนในอินโดนีเซีย ร้านทองคึกคักไม่แพ้กัน ในกรุงจาการ์ตา ลูกค้าบางคนบอกว่า ต้องรีบมาซื้อทองก่อนราคาจะขึ้นอีก หลังจากก่อนหน้านี้เอาทองที่มีอยู่ไปขายเร็วเกินไป เพราะคิดว่าราคาคงจะไม่ขึ้นอีก ซึ่งก็คาดผิดไปรอบหนึ่งแล้ว
แต่ราคาทองที่ว่าเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ จนสูงทำสถิติทะลุ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 130,000 บาท/ออนซ์
นับย้อนไป 5 ปีที่แล้ว ราคาทองดีดตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่สถานการณ์โลกไม่แน่นอน อย่างช่วงที่รัสเซียบุกโจมตียูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2565 ราคาทองก็เพิ่มสูงขึ้น ก่อนจะค่อย ๆ ลดลง โดยกราฟขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่สักระยะ จนกระทั่งสงครามเปิดฉากขึ้นในกาซา ราคาทองก็เริ่มไต่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ และไม่หยุดด้วย
ขณะที่ภายหลังโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐฯ เมื่อปลายปีที่แล้ว ราคาทองก็พุ่งสูงต่อเรื่อย ๆ จนทะลุ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หลังทรัมป์สาบานตนรับตำแหน่ง ที่น่าตกใจคือราคาทองยังเพิ่มสูงขึ้นไปอีกหลังทรัมป์ประกาศตั้งกำแพงภาษีกับทุกประเทศ แต่สถานการณ์โลกเหล่านี้เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งเท่านั้น
ทองถือเป็นที่หลบภัยให้กับบรรดานักลงทุนที่มีเงิน แต่ไม่แน่ใจเรื่องสภาพเศรษฐกิจโลก ซึ่งถือเงิน-ถือหุ้นเอาไว้ ก็อาจจะมีมูลค่าน้อยลง สู้ซื้อทองเก็บเอาไว้ดีกว่าเพราะมั่นคงกว่า จึงทำให้เมื่อเกิดวิกฤตขึ้นมา ราคาทองก็มักจะขึ้น สวนทางกับราคาหุ้น แต่รอบนี้ในหลาย ๆ ช่วง ราคาหุ้นและราคาทองขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน
จริง ๆ แล้ว ปัจจัยราคาทองแพงไม่ได้เกี่ยวข้องแค่กับนโยบายของทรัมป์เรื่องภาษีและสภาพเศรษฐกิจในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ไปจนถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจของหลายประเทศยักษ์ใหญ่อีกด้วย
ทั้งการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ค่าเงินเยนที่อ่อนตัว การลาออกของนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสแบบสายฟ้าแลบหลังรับตำแหน่งไม่ถึง 1 เดือน ไปจนถึงปัญหาเศรษฐกิจเรื้อรังในจีนที่ยังไม่ฟื้นตัวสักที เหล่านี้เป็นปัจจัยเสริมที่ยิ่งทำให้คนแห่ไปซื้อทองกันมากขึ้น จนราคาดีดสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน ราคาทองเพิ่มสูงขึ้นไปแล้วเกือบ ๆ ร้อยละ 54 แต่ทองไม่ใช่โลหะมีค่าชนิดเดียวที่ราคาแพงขึ้น ซึ่งที่เรามองว่า ทองแพง ๆ นี่ เอาเข้าจริง ๆ ปีนี้ ทองขึ้นราคาในสัดส่วนที่น้อยกว่าโลหะมีค่าชนิดอื่นเสียอีก
ทั้ง "แพลเลเดียม" "เงิน" และ "แพลทินัม" ราคาดีดตัวเพิ่มสูงขึ้นจนน่าตกใจ โดยเฉพาะแพลทินัม ซึ่งราคาสูงขึ้นถึงกว่าร้อยละ 83 แล้วในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ราคาเงินล่าสุดเมื่อวานนี้ เพิ่มสูงขึ้นแตะ 50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2536
ผู้เชี่ยวชาญส่วนหนึ่ง มองว่า ราคาทองที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลทำให้โลหะมีค่าชนิดอื่น ๆ แพงขึ้นด้วย ขณะที่ในระยะหลัง ๆ มานี้ รัฐบาลหลายชาติหันมาซื้อทองเก็บเป็นสินทรัพย์สำรองของประเทศ
ข้อมูลจากธนาคารกลางยุโรป เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ชี้ว่า ทองคำแซงหน้าเงินสกุลยูโร ก้าวขึ้นเป็นเงินทุนสำรองใหญ่อันดับ 2 รองจากเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปีที่แล้ว
นักวิเคราะห์บางคน ประเมินว่า ราคาทองน่าจะยังปรับเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ หลังจากนี้ แต่คาดว่า ราคาอาจจะไม่ได้ถีบตัวแรงแบบก้าวกระโดด เนื่องจากตลาดเริ่มปรับตัวและมีการป้อนทองคำเข้ามาในระบบมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น ถึงราคาทองจะขึ้นอย่างไร การหาเงินก้อนใหญ่มาซื้อในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ก็น่าจะยากสำหรับหลายคน
อ่านข่าวอื่น :
ราคา “ทองคำ” ร่วงแรง 600 บาท ดอลลาร์แข็ง –อิสราเอล – ฮามาสหยุดยิง
ครม.อิสราเอล อนุมัติแผนข้อตกลงสันติภาพระยะแรก หยุดยิง-ปล่อยตัวประกัน