วันนี้ (19 ต.ค.2568) แอสตันวิลลา สโมสรฟุตบอลจากอังกฤษ ออกแถลงการณ์ห้ามแฟนบอลของมัคคาบี เทล อาวีฟ จากอิสราเอล เข้าชมการแข่งขันยูฟา ยูโรปา ลีก ที่สนามวิลลา พาร์ก ในวันที่ 6 พ.ย.นี้ โดยอ้างเหตุผลหลักคือความปลอดภัยของทุกคนที่เกี่ยวข้อง
สโมสรได้รับคำแนะนำจาก SAG ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยในฟุตบอล จากยูฟา และจากกรมตำรวจเวสต์ มิดแลนด์ ที่รายงานถึงความเสี่ยงสูงจากเหตุประท้วงรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น
การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสต่อต้านสโมสรจากอิสราเอลในเกมยุโรป เนื่องจากความไม่พอใจต่อสงครามในกาซาที่กำลังดำเนินอยู่ ทำให้แฟนบอลหลายทีมแสดงออกด้วยการประท้วง สร้างความกังวลให้เจ้าภาพต้องเพิ่มมาตรการเข้มงวด
สาเหตุจากเหตุปะทะในเกมก่อนหน้า
พื้นฐานของปัญหามาจากเกมยูโรปา ลีกปี 2024 ที่อาแย็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เปิดบ้านพบมัคคาบี เทล อาวีฟ ซึ่งเกิดการปะทะรุนแรงระหว่างแฟนบอลทั้ง 2 ฝ่าย โดยมีประเด็นความเกลียดชังต่ออิสราเอลเป็นตัวจุดชนวนหลัก นอกจากนี้ เกมที่ PAOK จากกรีซ เปิดบ้านพบทีมเดียวกัน ก็เกิดความวุ่นวายตั้งแต่หน้าสนามจากกลุ่มประท้วง ทำให้เกิดกระแสต่อต้านแฟนบอลมัคคาบีแพร่กระจายไปทั่ว

เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้สโมสรเจ้าภาพหลายแห่งต้องพิจารณาความเสี่ยง โดยเฉพาะในเมืองอย่างเบอร์มิงแฮม ที่เป็นบ้านของแอสตัน วิลล่า ซึ่งประชากรราวร้อยละ 30 นับถือศาสนาอิสลาม และเคยมีประท้วงหลายครั้งนับตั้งแต่สงครามกาซาเริ่มต้น สถานการณ์นี้จึงกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้วิลลาต้องเลือกแบนเพื่อป้องกันปัญหาใหญ่
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับการแบนครั้งนี้ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ออกมาตำหนิการตัดสินใจของแอสตันวิลลา โดยบอกว่าเป็นความผิดพลาดที่ไม่ควรลงโทษแฟนบอลทั้งกลุ่ม และย้ำว่าบทบาทของตำรวจคือต้องทำให้แฟนบอลทุกฝ่ายสนุกกับเกมได้โดยไม่ต้องกลัวความรุนแรง
สอดคล้องกับ กิเดียน ซาอาร์ รมว.ต่างประเทศของอิสราเอล ก็ประณามวิลลาอย่างรุนแรง โดยเรียกการตัดสินใจนี้ว่า "น่าละอาย" และเป็นการเลือกข้างที่ไม่ยุติธรรม
อ่านข่าวอื่น :
“ความลับ” ของ เฉิน จื้อ ที่ปรึกษานายกฯ กัมพูชา และธุรกิจที่อำพรางไว้