วันนี้ (23 ต.ค.2568) โดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวขึ้นรับตำแหน่ง ปธน.สหรัฐฯ เป็นสมัยที่ 2 ในยุคที่อิทธิพลจีนแผ่ปกคลุมไปในหลายภูมิภาคทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย และภูมิภาคหลังบ้านของจีนอย่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่การเยือนของทรัมป์ตลอดสัปดาห์หน้า จะเป็นจุดเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศของมหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลกหรือไม่
ผู้นำสหรัฐฯ ใช้โอกาสระหว่างการหารือกับเลขาธิการ NATO ที่ทำเนียบขาว แสดงความเชื่อมั่นว่า สหรัฐฯ จะบรรลุข้อตกลงการค้ากับ "สี จิ้นผิง" ปธน.จีน ได้ และคาดว่าจะสามารถตกลงกับจีนให้กลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ได้อีกครั้ง ในระหว่างการประชุมของ 2 ผู้นำ ซึ่งคาดว่าจะจัดขึ้นที่เกาหลีใต้ในสัปดาห์หน้า
แต่ในขณะเดียวกัน ทรัมป์ก็เปิดช่องให้ตัวเองเช่นกัน โดยระบุว่า จริง ๆ แล้ว อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ ซึ่งอาจจะรวมถึงการยกเลิกการหารือดังกล่าวด้วย โดยทรัมป์เปิดเผยเป็นครั้งแรก เมื่อช่วงกลางเดือนกันยายน ว่า จะนั่งโต๊ะพูดคุยกับผู้นำจีน ก่อนที่จะออกมาแสดงท่าทีเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่หลายครั้ง จนทำให้หลายคนไม่ค่อยแน่ใจว่า สรุปแล้ว ทรัมป์จะคุยกับสีจริงหรือไม่
2 ผู้นำโลกจะได้คุยกันหรือเปล่า อาจจะยังไม่แน่ชัด แต่ที่แน่ ๆ คือ ตารางการเดินทางของผู้นำสหรัฐฯ เปิดเผยออกมาแล้วโดยทำเนียบขาว ซึ่งทรัมป์จะออกเดินทางจากสหรัฐฯ ในวันพรุ่งนี้ตามเวลาท้องถิ่น โดยจุดหมายปลายทางแรก คือ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย เพื่อร่วมงานใหญ่ 2 งาน นั่นคือ การประชุมอาเซียนและพิธีลงนามประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ที่ทรัมป์เป็นหนึ่งในตัวตั้งตัวตีสำคัญ
ขณะที่จุดหมายต่อไปของทรัมป์ คือ ที่ญี่ปุ่น ซึ่งจะถือเป็นการเยือนครั้งแรกในรอบ 6 ปี แถมยังได้พบปะพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นด้วย โดยรัฐบาลญี่ปุ่น คาดหวังว่า "ซานาเอะ ทาคาอิจิ" ที่ "ชินโสะ อาเบะ" ปั้นมาเองกับมือ จะสามารถคว้าใจของทรัมป์มาครองได้สำเร็จ เหมือนกับที่อาเบะเคยสนิทสนมกับทรัมป์ ตอนเป็นรัฐบาลสมัยที่แล้ว ก่อนที่ทรัมป์จะปิดจบทริปเอเชียที่เกาหลีใต้ แต่อยู่เพียงแค่ 1 คืนเท่านั้น
คงจะไม่ผิดนัก ถ้าจะพูดว่า การประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ เอเปค ที่เกาหลีใต้โดนการประชุม "ทรัมป์-สี" แย่งแสงไปจนแทบไม่เหลือ หลังจากในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทีมสหรัฐฯ และจีนต่างงัดมาตรการต่าง ๆ ออกมาตอบโต้กันไปมา จนทำให้สงครามการค้ากลับมาทวีความตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ล่าสุด มีรายงานว่า รัฐบาลทรัมป์กำลังพิจารณามาตรการจำกัดการส่งออกสินค้าที่ใช้ซอฟต์แวร์สหรัฐฯ ไปยังจีน โดยจะครอบคลุมตั้งแต่แล็ปท็อปไปจนถึงเครื่องยนต์ของเครื่องบิน เพื่อตอบโต้กรณีที่จีนสั่งจำกัดการส่งออกแร่หายาก
ถ้าสหรัฐฯ เดินเกมเช่นนี้จริง ๆ ก็อาจจะยิ่งเป็นการเพิ่มเดิมพันในการประชุมที่กำลังจะเกิดขึ้น หรืออาจจะไม่เกิดขึ้นนี้ก็เป็นได้ หลังจากก่อนหน้านี้ ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีจีนเป็นร้อยละ 155 จากปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 55

แต่ลมฟ้า-ลมฝนจะพัดไปในทิศทางไหน ต้องรอดูในช่วงไม่กี่วันนี้กันให้ดี ๆ เพราะ "สกอตต์ เบสเซนต์" รัฐมนตรีคลัง พร้อมด้วย "เจมีสัน กรีเออร์" ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เตรียมนั่งโต๊ะหารือกับทีมเจรจาจีน ที่นำโดยรองนายกรัฐมนตรี "เหอ ลี่เฟิง" ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ที่มาเลเซีย
การเยือนมาเลเซียของทรัมป์เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเอง เพราะด้านหนึ่งก็ทำให้โลกหันมาสนใจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกครั้ง แต่ขณะเดียวกัน สิ่งที่โลกสนใจกลับเป็นความเคลื่อนไหวของทรัมป์บนเวทีนี้ แทนที่จะเป็นประเด็นที่อาเซียนให้ความสำคัญดังเช่นปีก่อน ๆ ทั้งเรื่องความขัดแย้งในเมียนมา วิกฤตโรฮิงญา และข้อพิพาททะเลจีนใต้ ซึ่งแม้ว่าปีนี้ จะมีการพูดคุยกัน แต่ก็ไม่ค่อยได้รับความสนใจพูดถึงในสื่อกระแสหลักสักเท่าไหร่
แต่ปีนี้ ประเด็นที่ยังไงอาเซียนก็ต้องพูด โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์มาภูมิภาคนี้ด้วยตัวเอง คือ เรื่องภาษี เพราะอาเซียนคือภูมิภาคที่เจ็บหนักสุดจากมาตรการนี้ โดยในการประกาศเปิดศึกภาษีกับทั้งโลกเมื่อเดือนเมษายน ทรัมป์ตั้งกำแพงภาษีสินค้ากัมพูชาสูงถึงร้อยละ 49 ลาวร้อยละ 48 เวียดนามร้อยละ 46 หรือไทย พันธมิตรเก่าแก่ ยังโดนไปร้อยละ 36
แม้จะมีการเจรจาลดภาษี แต่ถ้าดูตัวเลขปัจจุบัน 10 ชาติอาเซียนก็ยังเจอภาษีสูงอยู่ดี ไล่ตั้งแต่ร้อยละ 40 ลงมาจนถึงร้อยละ 10 และที่สำคัญ สูงขึ้นมาก เมื่อเทียบกับกำแพงภาษีในยุคก่อนทรัมป์ ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นเลขตัวเดียว อย่างมาเลเซียเจอภาษีไม่ถึงร้อยละ 1 เมื่อปี 2565 ส่วนไทย เคยอยู่ที่ร้อยละ 2 ทำให้ได้เปรียบประเทศเพื่อนบ้านที่ขายของเหมือน ๆ กับเรา แต่ในตอนนี้ ภาษีกลับมาเท่ากันแล้ว
ประเด็นเรื่องกำแพงภาษีน่าจะเป็นหัวข้อหารือหลักที่แต่ละประเทศที่มาร่วมประชุมอาเซียน จะหยิบขึ้นมาพูดคุยกับทีมทรัมป์ในโอกาสที่หาไม่ได้ง่าย ๆ เช่นนี้ ซึ่งหลายคนยังคาดหวังด้วยว่า การเยือนที่เกิดขึ้นจะส่งสัญญาณเชิงบวกว่า สหรัฐฯ จะหันกลับมาสนใจภูมิภาคที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ในเอเชีย-แปซิฟิกแห่งนี้อีกครั้ง หลังจากละเลยไปนานหลายปี โดยครั้งล่าสุดที่ผู้นำสหรัฐฯ มาร่วมประชุมอาเซียน คือ ในสมัยของโจ ไบเดน ที่กรุงพนมเปญ เมื่อปี 2565
แต่การมาเยือนในครั้งนี้ของทรัมป์ไม่ได้รับประกันว่า ทรัมป์จะสนใจภูมิภาคนี้จริง ๆ เพราะถ้าย้อนไปดูตอนทรัมป์เป็นรัฐบาลสมัยที่แล้ว ผู้นำคนนี้ก็มาร่วมประชุมอาเซียนที่ฟิลิปปินส์ในปีแรกที่รับตำแหน่งเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และก็ไม่มาอีกเลย
อ่านข่าวอื่น :
"บิ๊กเล็ก" แถลงผล GBC กัมพูชายอมรับ 4 ข้อเสนอ ถอนอาวุธ-กู้บึ้ม-ปราบสแกมเมอร์
GBC ไทย-กัมพูชา เห็นชอบแนวทางถอนกำลัง-เก็บกู้ทุ่นระเบิด เสนอประชุม GBC วันนี้