ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

“บะลาโกล” ความสำเร็จ ย้ายเสือโคร่งข้ามถิ่นตัวแรกในไทย

สิ่งแวดล้อม
18:45
140
“บะลาโกล” ความสำเร็จ ย้ายเสือโคร่งข้ามถิ่นตัวแรกในไทย

กว่า 1 ปีหลังจาก "บะลาโกล" เสือโคร่งตัวผู้ กระโจนออกจากกรงและใช้ชีวิตในผืนป่าอุทยานแห่งชาติทับลาน เชื่อมต่ออุทยานแห่งชาติปางสีดา

จากเสือโคร่งซูบผอมที่แยกตัวออกจากแม่ด้วยวัยเพียง 2 ปี เข้าไปเดินในหมู่บ้านกระเหรี่ยงน้ำตก อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร เมื่อช่วงกลางเดือน ก.พ.2567 ทำให้เจ้าหน้าที่ นักวิจัย และทีมสัตวแพทย์ ต้องวางแผนดักจับก่อนนำมาพักฟื้นที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จ.อุทัยธานี พบว่าเสือโคร่งมีดวงตาข้างซ้ายอักเสบและปูดโปน

สุดท้ายจึงตัดสินใจรักษาด้วยการควักลูกตาออก ไม่ให้การติดเชื้อลุกลามไปยังดวงตาอีกข้างหนึ่ง พร้อมตั้งชื่อว่า "บะลาโกล" ภาษากะเหรี่ยงแปลว่า "คลองลาน" ตามผืนป่าถิ่นอาศัย

ทีมงานตัดสินใจเลือกเส้นทางฟื้นฟูร่างกายเสือโคร่งให้แข็งแรงและปล่อยคืนธรรมชาติโดยเร็วที่สุด ในช่วง 107 วันของการรักษาตัวในกรงใหญ่กึ่งธรรมชาติ มีหลายปัจจัยที่ต้องควบคุม ทั้งหลีกเลี่ยงการรบกวนจากมนุษย์ให้มากที่สุด และฝึกให้คงสัญชาตญาณ "นักล่า" ฝึก "จ้อง-คลานย่อง-ตะปบ-ลากเหยื่อ" ซึ่งบะลาโกลพิสูจน์ให้เห็นว่าทำได้ดี และพร้อมดำรงชีวิตในป่าใหญ่อีกครั้ง

บะลาโกล เป็นเสือโคร่งตัวแรกในไทยที่มีการย้ายข้ามถิ่นอาศัยจากป่าตะวันตก มาปล่อยที่อุทยานแห่งชาติทับลาน

นายสมพร พากเพียร หัวหน้าสถานีวิจัยสัตว์ป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ บอกว่า หลังปล่อยเสือแล้วได้ติดตามผ่านสัญญาณดาวเทียมและสัญญาณวิทยุ VHF จากปลอกคอ ทำให้ทราบว่าบะลาโกล พยายามเดินสำรวจพื้นที่เพื่อยึดครองเป็นที่อยู่อาศัยของตัวเอง พฤติกรรมไม่ต่างจากเสือโคร่งตัวอื่นในธรรมชาติ

บะลาโกล สำรวจหาพื้นที่ถิ่นอาศัย บางครั้งเดินออกไปชายขอบป่าใกล้ชุมชน แต่ไม่เคยทำร้ายปศุสัตว์ หรือรบกวนชาวบ้าน โดยใช้เวลาอยู่เพียง 2-3 ชั่วโมง สุดท้ายก็กลับเข้าพื้นที่ป่า

แม้เสือโคร่งเหลือดวงตาเพียงข้างเดียว แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตในธรรมชาติ พิสูจน์ให้เหล่าแฟนคลับได้เบาใจ ด้วยการล่าเหยื่อมื้อแรกเป็น "หมูหริ่ง" ขยับเป็นกวางป่า เลียงผา หมูป่า กระทิง

ตอนนี้ "บะลาโกล" กลายเป็น "เสือเจ้าถิ่น" รหัสประจำตัว TLR-142M หลังยึดพื้นที่ 331 ตารางกิโลเมตร ในพื้นที่อุทยานทับลาน เชื่อมต่ออุทยานปางสีดา เป็นบ้านของตัวเองได้สำเร็จ และยังต้องลุ้นจับคู่กับเสือโคร่งตัวเมีย ซึ่งปรากฏภาพบนกล้องดักถ่ายในพื้นที่ดังกล่าว 2 ตัว เพื่อถ่ายทอดพันธุกรรมจากเสือโคร่งป่าตะวันตกสู่ดงพญาเย็น-เขาใหญ่

หัวหน้าสถานีวิจัยสัตว์ป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ย้ำว่า สิ่งสำคัญของการดำรงชีวิตในป่าของเสือโคร่ง คือ ต้องได้รับการปกป้องดูแลพื้นที่อย่างเข้มแข็งจากชุดลาดตระเวนเชิงคุณภาพ หรือชุด Smart Patrol และปริมาณเหยื่อเพียงพอ ควบคู่การเดินหน้างานวิจัยสัตว์ป่า

ขณะนี้ติดปลอกคอเสือโคร่ง 4 ตัว ในป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ได้แก่ บะลาโกล และ ศรีโกสา ตัวผู้, จันทรา และ เพียรพร ตัวเมีย


ในปี 2569 สถานีวิจัยฯ มีแผนดักจับติดปลอกคอ “เสือลายเมฆ” ซึ่งในกลุ่มป่านี้มีประชากร 30 ตัว เพื่อติดตามพฤติกรรมและการใช้ชีวิตเช่นเดียวกับเสือโคร่ง

ทีมนักวิจัยจะออกปฏิบัติภารกิจตรวจสอบและเก็บข้อมูล ครั้งละ 1-5 วันตามความห่างไกลหรือความยากของการเข้าถึงพื้นที่ เมื่อสัญญาณดาวเทียมจากปลอกคอส่งพิกัดหลายตำแหน่งบริเวณใกล้เคียงกัน สันนิษฐานว่าเสือโคร่งล่าเหยื่อได้ หรือมีอะไรตรงจุดนั้น

อีกเรื่องน่ายินดี กล้องดักถ่ายในป่าทับลาน จับภาพลูกเสือโคร่งได้ทุก ๆ ปี จึงมีโอกาสฟื้นฟูประชากรสูง ซึ่งพื้นที่เชื่อมต่ออย่างอุทยานแห่งชาติปางสีดา และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ จะต้องเพิ่มประชากรเหยื่อและป้องกันภัยคุกคาม ส่วนพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่ยังไม่มีรายงานเสือโคร่งข้ามไปนั้น มีแผนฟื้นฟูทั้งแหล่งน้ำ-อาหาร-โป่ง และกวางป่า ที่เป็นเหยื่อหลัก

ตอนนี้กล้องจับภาพเสือโคร่งในรัศมี 1 กิโลเมตร ตรงคอริดอร์ทับลาน ซึ่งมีกวางป่า กระทิงมาใช้ประโยชน์ แต่เป็นแนวขอบชุมชน ถ้าควบคุมปัจจัยคุกคามได้ มั่นใจว่ายังไงเสือโคร่งก็ข้ามไปเขาใหญ่

ข้อมูลปี 2566-2567 มีรายงานการถ่ายภาพเสือโคร่งในพื้นที่อนุรักษ์ 19 แห่ง 5 กลุ่มป่า ได้แก่ กลุ่มป่าตะวันตก 152-196 ตัว, กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ 19 ตัว, กลุ่มป่าแก่งกระจาน-กุยบุรี 5 ตัว, กลุ่มป่าฮาลา-บาลา 2 ตัว และกลุ่มป่าชุมพร 1 ตัว

ความทุ่มเทของเจ้าหน้าที่ในการปกป้องผืนป่า การลาดตระเวนเชิงคุณภาพ ควบคู่กับปริมาณเหยื่อที่เพียงพอ เป็นปัจจัยสำคัญของการอยู่รอดในธรรมชาติ

ขณะนี้ไทยยืนหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูประชากร “เสือโคร่ง” นักล่าอันดับสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร ผู้ทำหน้าที่รักษาสมดุลระบบนิเวศผืนป่า