วันนี้ (16 พ.ย.2568) ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว ยืนยันว่าการสำรวจและปักหมุดชั่วคราวที่จะมีขึ้นในวันที่ 17 พ.ย.นี้ ยังคงดำเนินการตามแผนเดิม โดยไม่มีคำสั่งเปลี่ยนแปลง แม้จะเกิดเหตุการณ์ทหารกัมพูชายิงปืนเล็กใส่บังเกอร์ของทหารไทย และไทยยิงตอบโต้กันเมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม จากการปฏิบัติที่ผ่านมา ฝ่ายความมั่นคงต้องรอดูท่าทีของกัมพูชาว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เพื่อประเมินสถานการณ์ต่อไป
ขณะเดียวกัน ชาวนาในพื้นที่ อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ต่างเร่งเก็บเกี่ยวข้าวเปลือกหอมมะลิ เนื่องจากกังวลต่อสถานการณ์ชายแดนที่อาจไม่ปลอดภัย โดยข้าวเปลือกที่เก็บเกี่ยวแล้วถูกนำมาผึ่งแดดที่ลานโล่งกลางหมู่บ้านหนองหญ้าแก้ว เพื่อไล่ความชื้นก่อนนำไปใช้หุงข้าวตลอดปี จนกว่าจะถึงฤดูทำนาใหม่
สามีภรรยาคู่หนึ่งในพื้นที่กำลังช่วยกันเกลี่ยข้าวเปลือกให้แห้งสนิท โดยข้าวที่ปลูกในพื้นที่ 10 ไร่ ให้ผลผลิตรวม 4 ตัน ซึ่งครอบครัวจะเก็บไว้กิน 2 ตัน และนำอีก 2 ตันไปขาย อย่างไรก็ตาม ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิในปีนี้ยังคงตกต่ำ อยู่ที่กิโลกรัมละ 10.9 บาท หรือตันละ 10,900 บาท เมื่อหักลบค่าปุ๋ย 10 กระสอบ รวม 10,000 บาท และค่าจ้างเก็บเกี่ยวข้าวไร่ละ 650 บาท แล้ว รายได้จากการขายแทบไม่เหลือ แต่ชาวนาเหล่านี้ยอมรับว่าหากไม่ปลูกข้าว ก็ไม่รู้จะประกอบอาชีพใด เพราะการทำนาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว
นายวิทวัส นามกัง ชาวนาที่ปลูกข้าว 8 ไร่ หลัง ถ.ศรีเพ็ญ ซึ่งเป็นพื้นที่ความมั่นคง เปิดเผยว่า ข้าวของตนเหลืองทองและพร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว แต่หลังเกิดเหตุยิงตอบโต้กัน ฝ่ายความมั่นคงได้ขอให้ชะลอการเก็บเกี่ยวเพื่อความปลอดภัย ซึ่งตนเข้าใจดี อย่างไรก็ตาม หากปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป ข้าวจะกรอบคาต้น เม็ดข้าวแตกหัก และส่งผลให้ราคาขายตกต่ำลง โดยประเมินว่าหากเข้าไปเกี่ยวไม่ได้ภายใน 7 วัน อาจต้องปล่อยให้ข้าวแห้งยืนต้นไปเลย
สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความลำบากของชาวนาในพื้นที่ชายแดน ที่ต้องเผชิญทั้งความเสี่ยงด้านความมั่นคงและปัญหาเศรษฐกิจจากราคาพืชผลตกต่ำ ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงยังคงเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
อ่านข่าวอื่น :
ลูกชายมืดแปดด้าน แม่หลงลืมเอาทองคำ 10 บาท 3 แท่ง ไปทิ้งขยะ
ญาติเรี่ยไรเงินนำร่างหญิงไทยวัย 28 ปีเสียชีวิตที่ปอยเปตกลับภูมิลำเนา