ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ทักษิณ “น่วม” คาคุก ปมภาษี “ชินคอร์ป” เส้นทางการเมืองสะดุด

การเมือง
13:02
146
ทักษิณ “น่วม” คาคุก ปมภาษี “ชินคอร์ป” เส้นทางการเมืองสะดุด

ถือว่าพลิกผันไม่น้อย เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษากลับ ในคดีภาษีหุ้นชิน คอร์เปอเรชั่น หรือ “ชินคอร์ป” โดยตัดสินให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้น พร้อมเบี้ยปรับเงินเพิ่ม รวม 1.76 หมื่นล้านบาทได้

เป็นคำพิพากษาที่พลิกกลับ 360 องศา เพราะก่อนหน้านี้ ศาลภาษีอากรกลาง และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เคยพิพากษาให้นายทักษิณชนะคดี ในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับ

ให้เหตุผลว่า การประเมินภาษีของกรมสรรพากรไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ได้ออกหมายเรียกนายทักษิณในฐานะผู้เสียภาษีหลักภายในกำหนดเวลา 5 ปี แต่กลับออกหมายเรียกทายาท 2 คน นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร มาประเมินภาษีแทน

นายวิษณุ เครืองาม เมื่อครั้งเป็นรองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยพูดถึงเรื่องนี้ว่า กรมสรรพกรเคยออกหมายเรียกนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา นอมินีที่ถือหุ้นแทนนายทักษิณมาไต่สวนในปี 2555 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้ถือว่าเคยออกหมายเรียกนายทักษิณมาไต่สวนแล้ว

และส่งผลให้กรอบเวลาที่ต้องออกหมายเรียก ขยายไปถึง 31 มี.ค.2560

โดยมี พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล ในขณะนั้น อ้างถึงคำพูดของนายวิษณุที่รายงานเรื่องดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อ 14 มี.ค.2560 ทำนองว่า เป็น “อภินิหารทางกฎหมาย”

คดีภาษีหุ้นชินคอร์ป นี้ เริ่มต้นจากกรณี นายทักษิณขายหุ้น “ชินคอร์ป” ให้เทมาเส็กส์ โฮลดิ้ง ของสิงคโปร์ เมื่อปี 2549 ถือเป็น “บิ๊กล็อต” ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย เพราะมีจำนวนถึง 1,487,740,120 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 49.6 % ของบริษัท ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท รวมวงเงิน 73,271 ล้านบาท

ทั้งนี้ รายชื่อผู้ขายหุ้นชินคอร์ปครั้งนั้น เป็นคนในครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ นำโดยน.ส.พิณทองทา มากที่สุด ตามด้วยนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และ นายพานทองแท้ และยังมีชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคนในตระกูลดามาพงศ์คนอื่นด้วย

แต่ “บิ๊กดีล”ครั้งนั้น นำไปสู่ประเด็นคำถามและข้อสงสัยของผู้คนมากมาย เพราะเป็นเรื่องธุรกรรมของครอบครัวชินวัตร ที่ขณะนั้น นายทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีด้วย และพยายามอ้างการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงไม่ต้องเสียภาษี ทำให้ยิ่งถูกตั้งคำถามจากสังคมมากขึ้น

ขณะที่ น.ส.พินทองทาและนายพานทองแท้ ที่ถูกตั้งข้อสังเกตเป็นนอมินีถือแทนนายทักษิณนั้น เดิมซื้อหุ้นชินคอร์ปจากบริษัทแอมเพิลริช ที่จดทะเบียนในบริติช เวอร์จิน ในราคาเพียงหุ้นละ 1 บาท ก่อนจะขายให้เทมาเส็ก ในราคาหุ้น 49.25 บาท ฟันกำไรมหาศาล

ยังไม่นับ ประเด็นแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 มีผลบังคับใช้ใหม่ 20 ม.ค.2549 หรือเพียง 3 วันก่อนเกิด “บิ๊กดีล” ทำให้ต่างชาติซื้อหุ้นกิจการโทรคมนาคมได้ถึง 49 % จากเดิมไม่เกิน 25 %

ข้อสงสัยหลายประการไม่ได้รับการคลี่คลาย ขยายผลไปถึงประเด็นคุณธรรมจริยธรรมของผู้นำประเทศ นำไปสู่การชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล ที่เริ่มปะทุตั้งแต่ปี 2549

กระทั่งรวมตัวเป็นกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พธม.ในปี 2549 และหลังจากนายทักษิณ ได้ขายหุ้นที่ถือครองในชินคอร์ปให้กับเทมาเส็ก เกิดการชุมนุมหลายครั้งต่อเนื่อง และยกระดับขึ้นเรื่อย ๆ

กระทั่งสุดท้าย นำไปสู่การรัฐประการ 19 ก.ย.2549 ปิดฉากอำนาจทางการเมืองของนายทักษิณรอบแรก

ดังนั้น การโดนเพิ่มทั้งอัยการสูงสุดเห็นควรให้ยื่นอุทธรณ์คดี ม.112 และภาษีขายหุ้นชินคอร์ป ปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่งผลต่อความฮึกเหิมทั้งนายทักษิณ คนในตระกูล คนในพรรคเพื่อไทย รวมถึงแฟนคลับ ตลอดจนความหวังจะเดินหน้ากอบกู้บารมีทางการเมือง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส

อ่านข่าว : ไทม์ไลน์ "ทักษิณ" ขายหุ้นชินคอร์ป สู่คำสั่งเรียกเก็บภาษี 1.76 หมื่นล้าน

"ปลัดคลัง" ยันทำตามขั้นตอนคดีภาษี "หุ้นชินคอร์ป" 1.76 หมื่นล้าน

"สีหศักดิ์" ติง "แจ็กแปปโฮ" หวั่นกระทบภาพลักษณ์นักท่องเที่ยวไทย