ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

พฤศจิกายนเดือนเดียว น้ำท่วมเอเชียดับนับพันชีวิต-เศรษฐกิจสูญกว่าพันล้าน

ภัยพิบัติ
19:33
37
พฤศจิกายนเดือนเดียว น้ำท่วมเอเชียดับนับพันชีวิต-เศรษฐกิจสูญกว่าพันล้าน
พ.ย.2568 พายุและฝนจากลานีญา ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้-เอเชียใต้ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1,500 คน ผู้ลี้ภัยเกือบ 4 ล้านคน และความเสียหายทางเศรษฐกิจหลายพันล้านดอลลาร์ โดยอินโดนีเซีย ไทย ศรีลังกา ฟิลิปปินส์ เวียดนาม กระทบหนักสุด

วันนี้ (2 ธ.ค.2568) เดือนพฤศจิกายนปีนี้กลายเป็นฝันร้ายของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ เมื่อพายุดิตวาห์ และ เซนยาร์ พร้อมฝนมรสุมหนักผิดปกติจากปรากฏการณ์ลานีญา ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มครั้งใหญ่ คร่าชีวิตผู้คนกว่า 1,500 คน ผู้ลี้ภัยหลายล้านคน และทำลายผลผลิตทางการเกษตรหลายล้านไร่ ข้อมูลจากสื่อชั้นนำอย่าง Reuters, CNN และ Al Jazeera ยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยอินโดนีเซียได้รับผลกระทบหนักสุด รองลงมาคือศรีลังกา ฟิลิปปินส์ และ ไทย

มาดูตัวเลขผู้เสียชีวิตแบบชัด ๆ The New York Times ระบุว่า วันนี้ (2 ธ.ค.2568) อินโดนีเซียรายงานผู้เสียชีวิต 604 คน ส่วนใหญ่จากน้ำท่วมและดินถล่มในเกาะสุมาตราและชวา โดยเฉพาะในจังหวัดสุมาตราเหนือและสุมาตราตะวันตก มีผู้สูญหายอีกกว่า 800 คน

ไทยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 176 คน โดยเฉพาะภาคใต้อย่าง นราธิวาส สงขลา ที่น้ำท่วมสูงกว่า 2 เมตร ทำให้นักท่องเที่ยวและชาวบ้านต้องอพยพกว่า 3,80,000 คน

ศรีลังกาเสียชีวิต 390 คน จากไซโคลนดิตวาห์ ที่พัดถล่มกรุงโคลัมโบและจังหวัดทางใต้ ส่งผลให้ผู้ได้รับผลกระทบเกือบ 1,000,000 คน รวมถึงเด็กและผู้สูงอายุที่เสี่ยงต่อโรคระบาดหลังน้ำลด

ฟิลิปปินส์มีผู้เสียชีวิต 200 คน จากไต้ฝุ่น 2 ลูกที่ถล่มในเดือน พ.ย. โดยเฉพาะในกรุงมะนิลาและเกาะทางเหนือ ที่บ้านเรือนพังทลายนับหมื่นหลัง

เวียดนามเสียชีวิตประมาณ 100 คน ในภาคกลางและใต้ จากฝนตกหนักที่ทำให้แม่น้ำโขงล้นตลิ่ง

ส่วนมาเลเซียมีผู้เสียชีวิต 50 คน ในคาบสมุทรมลายูและเกาะบอร์เนียว ที่น้ำท่วมทำให้ต้องสั่งอพยพกว่า 34,000 คน 

โลกร้อน-ลานีญา เพิ่มความรุนแรงให้พายุ

สถานการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากอากาศที่แปรปรวน โลกร้อน ปรากฏการณ์ลานีญา ทำให้พายุรุนแรงขึ้น ตามที่นักวิทยาศาสตร์จาก CNN ลอรา ชาร์แมน และ Al Jazeera ชี้ว่า อุณหภูมิทะเลที่สูงขึ้นจากโลกร้อน ทำให้บรรยากาศเก็บน้ำได้มากกว่าเดิมร้อยละ 30 ส่งผลให้ฝนตกหนักในเวลาสั้น ๆ หรือเรียกว่า "Extreme rainfall" ที่เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 20-50 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกจากนี้ลานีญาซึ่งคาดว่าจะแรงในปี 2569-2570 ก็นำฝนที่เกินปกติมาสู่ภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะอินโดนีเซีย ไทย และฟิลิปปินส์ ทำให้เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำรอยทุกปี

ปัจจัยอื่น ๆ อย่างการตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่เชิงเขา ทำให้ดินเสื่อมโทรมและดินถล่มง่ายขึ้น โดยในอินโดนีเซียและศรีลังกา พื้นที่ป่าลดลงร้อยละ 20 ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลให้ชุมชนยากจนซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำหรือเนินเขา ได้รับผลกระทบหนักสุด ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่สูญเสียพืชผลอย่างข้าว ยางพารา และปาล์มน้ำมัน กว่า 1,000,000 ไร่ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

พูดถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว Nikkei Asia รายงานว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เสียหายไปแล้วกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 350,000 ล้านบาท จากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน การท่องเที่ยว และเกษตรกรรม

ในไทย ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา นายทรงพล จังศิริวัฒนธำรง ประเมินความเสียหายหลังสถานการณ์น้ำท่วมเมืองหาดใหญ่ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างและลึก คาดเศรษฐกิจเสียหายกว่า 20,000 ล้านบาท คาดใช้เวลา 3 เดือนฟื้นฟูและกลับมาเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวได้

ส่วนที่อินโดนีเซีย เสียหายหนักสุด 5,000 ล้านดอลลาร์ จากการที่น้ำท่วมทำลายท่าเรือและถนนในสุมาตรา ทำให้ส่งออกปาล์มน้ำมันชะงัก

ฟิลิปปินส์และเวียดนาม The Guardian รายงานความเสียหายจากอุตสาหกรรมการประมงและท่องเที่ยวชายฝั่ง กว่า 2,000 ล้านดอลลาร์รวมกัน

มาเลเซียกระทบอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซในบอร์เนียว

ส่วนศรีลังกา เสียหาย 1,000 ล้านดอลลาร์ จากการหยุดชะงักของการส่งออกชาและเสื้อผ้า

แล้วอนาคตจะเป็นอย่างไร - ทางแก้เริ่มต้นที่ไหน ?

นักวิชาการจาก FM Global และ Krungsri Research คาดว่า ถ้าโลกร้อนต่อเนื่อง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเจอน้ำท่วมรุนแรงเพิ่มขึ้นร้อยละ 20-30 ทุกปี โดยเฉพาะปี 2569 ที่กำลังจะมาถึง ปรากฏการณ์ลานีญา อาจทำให้ฝนตกเกินปกติร้อยละ 50 ในไทยและเวียดนาม ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยเพิ่มเป็น 5-10 ล้านคน/เหตุการณ์ และเศรษฐกิจเสียหายสะสม 20,000 ล้านดอลลาร์/ปี หรือราว 700,000 ล้านบาท หากไม่แก้ปัญหา ประเทศอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ซึ่งมีพื้นที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึงร้อยละ 30 อาจกลายเป็น "เขตผู้ลี้ภัย" จากการย้ายถิ่นฐานเพราะโลกร้อน (Climate migrants) ตามข้อมูลจากรายงาน FM Global Insights 2025 และ Krungsri Industry Outlook 2025-2027

ทางแก้ปัญหาแบ่งเป็น 3 ระดับ

ระดับชุมชน : ให้เงินเยียวยาโดยตรงกับครอบครัว เพื่อซื้อของจำเป็นและฟื้นฟูบ้านเรือนให้เร็วที่สุด โดยองค์การสหประชาชาติ แนะนำวิธีนี้เพราะจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นได้ 2 เท่าของเงินที่ให้ ตามรายงาน UN CALP Network 2024 

ระดับรัฐบาล : สร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early warning systems) ติดตั้ง Early warning systems หรือระบบเตือนภัยล่วงหน้า เช่น การแจ้งเตือนผ่าน Cell Broadcast ในไทย การปรับปรุงท่อระบายน้ำในเมืองใหญ่ เพื่อให้น้ำไหลเร็ว ไม่ท่วมขัง การลดการตัดไม้ทำลายป่าให้ได้ภายใน 5 ปี โดยเฉพาะอินโดนีเซียและมาเลเซีย ที่ต้องบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมให้เข้มงวด เช่น ห้ามเผาป่าและลงโทษผู้บุกรุกป่า ทั้งหมดจะส่งผลดี ช่วยลดดินถล่มและน้ำท่วมได้มากถึงร้อยละ 40-50 ตามรายงาน World Economic Forum 2023 และ ASEAN Climate Finance Strategy 2024 

ระดับนานาชาติ : ใช้เงินกองทุนเขียวจาก COP ช่วยสร้างกำแพงกันน้ำ (Sea walls) และยกระดับถนนให้สูงขึ้น เช่น ฟิลิปปินส์ลงทุนสร้างพนังกั้นน้ำ ลดความเสียหายจากน้ำท่วมได้มากถึงร้อยละ 40 ตามรายงาน Greenpeace Philippines 2025 ถ้าหากมีกระบวนการเช่นนี้กระจายไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตลงได้มากกว่าครึ่ง และฟื้นเศรษฐกิจได้ใน 6 เดือน แทนที่จะลากยาวเป็นปี ตามข้อมูล UNDRR

วิกฤตนี้สอนให้เราเห็นว่า น้ำท่วมไม่ใช่แค่ภัยธรรมชาติ แต่เป็นสัญญาณเตือนจากโลกร้อนที่มนุษย์สร้างขึ้น รัฐบาล ชุมชน และนานาชาติต้องร่วมมือด่วน เพื่อปกป้องชีวิตและเศรษฐกิจในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่เช่นนั้น ปีหน้าอาจแย่ยิ่งกว่าเดิม

ข้อมูล : Extreme Weather Risk is Growing, as are Gaps in ResilienceVietnam Investment ReviewCash relief

อ่านข่าวอื่น :

ครม.อนุมัติมาตรการเยียวยาน้ำท่วมใต้ "เงินกู้ปลอดดอกเบี้ย-พักเงินต้นพักดอก"

ครม.เลื่อนชั้นรองผู้ว่าฯ เป็น 18 ผู้ว่าฯ และ2 ผู้ตรวจราชการระดับสูง