ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

เครือข่ายภาคประชาชน จี้รัฐบาลหยุดขบวนการฟ้องปิดปาก

สังคม
20:00
137
เครือข่ายภาคประชาชน จี้รัฐบาลหยุดขบวนการฟ้องปิดปาก
เครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ และคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย ร่วมออกแถลงการณ์ "รัฐบาลต้องหยุดขบวนการการฟ้องปิดปาก (SLAPP) เพื่อปกป้องผลประโยชน์ชาติและประชาชน

วันนี้ (6 ธ.ค. 25868) เครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ จัดเวทีสาธารณะ เรื่อง "การฟ้องคดีปิดปาก (SLAPP) กับละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย" เนื่องในสัปดาห์วันสิทธิมนุษยชนสากล และ สิทธิมนุษยชนไทย โดยมี รศ.ดร.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธาน องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) น.ส.ศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสมาพันธ์สมานฉันทร์แรงงานไทย (สสรท.) นายมานพ เกื้อรัตน์ เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) และนายเมธา มาสขาว ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และรักษาการเลขาธิการ ครป. ร่วมอภิปราย ดำเนินรายบการโดย นายสุปัน รักเชื้อ ประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์

โดยเครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) และคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ร่วมออกแถลงการณ์ "รัฐบาลต้องหยุดขบวนการการฟ้องปิดปาก (SLAPP) เพื่อปกป้องผลประโยชน์ชาติและประชาชน" โดยมีรายละเอียดดังนี้ แถลงการณ์ เรื่อง รัฐบาลต้องหยุดขบวนการการฟ้องปิดปาก (SLAPP) เพื่อปกป้องผลประโยชน์ชาติและประชาชน

“การฟ้องปิดปาก” หรือ SLAPP (ย่อมาจาก Strategic Lawsuit Against Public Participation แปลว่า การดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณะ) ไม่เกี่ยวอะไรกับ “ข้อเท็จจริง” แต่หมายถึง คดีความที่มีเป้าหมายเพื่อข่มขู่กดดันให้คนที่ใช้สิทธิเสรีภาพการแสดงออก ตัดสินใจเลิกแสดงความคิดเห็นเชิงลบต่อผู้ฟ้องคดี

การฟ้องปิดปากกำลังกลายเป็นปรากฏการณ์ใหญ่ทางสังคม ที่กำลังคุกคามผู้ที่ทำหน้าที่ส่งเสียงเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะในหลายเหตุการณ์จากกลุ่มทุนและกลุ่มผลประโยชน์ เช่น กรณีของ มูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย) และวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ที่ถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอาหาร ฟ้องร้องจากการเผยแพร่ข้อมูลการระบาดของปลาหมอคางดำ,

การฟ้องร้อง ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการในคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ในการทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค โดย บริษัท ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมโดยศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษจำคุกสองปี แม้คดีกำลังดำเนินการในชั้นศาลอุทธรณ์ แต่คำตัดสินดังกล่าวก่อให้เกิดการใช้เกียร์ว่างต่อการปกป้องผลประโยชน์สาธารณะของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ และกรรมการในองค์กรอิสระ เมื่อมีการพิจารณากรณีที่มีผลประโยชน์เอกชนเกี่ยวข้อง,

กรณี สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระ ผู้เขียนบทความและแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นเศรษฐกิจ สังคม และธรรมาภิบาล ถูก บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานฟ้องร้องทั้งคดีแพ่งและอาญาเรียกค่าเสียหายกว่า 100 ล้านบาท จากการโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงาน และคดีตัวอย่างอีกหลายกรณี

นอกจากนี้ยังมีคดีฟ้องปิดปาก (SLAPP) โดยบริษัทเอกชน ตั้งแต่นายทุนผูกขาด บริษัทเอกชน กลุ่มทุนธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ฟ้องต่อการทำหน้าที่ของนักวิชาการ และชาวบ้าน เพียงเพราะพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์บริษัทหรือลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิชุมชนในพื้นที่โครงการ ลามไปถึงผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนไม่น้อยที่ฟ้องผู้บริโภค และยังลามไปถึงผู้มีอำนาจ รัฐมนตรี นักการเมือง ยังฟ้องปิดปากประชาชน สื่อมวลชน กระทั่งนักการเมืองฝ่ายค้านที่ลุกขึ้นมาตรวจสอบในรัฐสภา เพื่อเป็นการคุกคามการทำหน้าที่ตรวจสอบ รวมถึงองค์กรหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ในการใช้อำนาจบริหารเพื่อกลั่นแกล้งเพื่อนำไปสู่การลงโทษทางวินัยเป้าหมายเพื่อต้องการปิดปากและขัดขวางการทำงานของสหภาพแรงงานซึ่งเป็นองค์กรของลูกจ้าง เช่น กรณีการใช้อำนาจบริหารกลั่นแกล้งโยกย้ายและตรวจสอบวินัยนายมานพ เกื้อรัตน์ เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) เป็นต้น

ทั้งนี้ การฟ้องคดี SLAPP โดยบริษัท เป็นการละเมิดหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights: UNGPs) UNGPs ปัจจุบันเป็นทั้ง “มาตรฐานสากล” และ “พิมพ์เขียว” การดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนของภาคธุรกิจที่ได้รับการยอมรับสูงสุดในโลก ประเทศไทยโดยคณะรัฐมนตรีหลังจากที่มีมติเห็นชอบและประกาศใช้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (National Action Plan on Business and Human Rights) เมื่อปี พ.ศ. 2562 ก็ได้นำ UNGPs มาใช้ โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็ได้รับมอบหมายพันธกิจให้จัดอบรมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่อง UNGPs สำหรับบริษัทจดทะเบียน ส่วนกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพก็จัดประกวด “องค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน” ต่อเนื่องมาหลายปี ยังไม่นับว่าหลักการชี้แนะ UNGPs ถูกนำไปบูรณาการในมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG (ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล) ระดับสากลจำนวนมากที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ

ความเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ที่เกี่ยวกับ UNGPs ส่งผลให้เกิดความตื่นตัว บริษัทไทยจำนวนมากทยอยประกาศว่าตนรับหลักการชี้แนะ UNGPs ไปปฏิบัติ แต่ตลกร้ายก็คือ ในจำนวนนี้มีหลายบริษัทที่ยังคงฟ้องคดีที่เข้าข่าย SLAPP แม้หลังจากที่บริษัทผู้ฟ้องประกาศว่ารับ UNGPs และออกนโยบายสิทธิมนุษยชนมาแล้วก็ตาม

เครือข่ายประชาธิปไตยและองค์กรภาคประชาชน ขอเรียกร้องต่อรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้อง อันจะนำไปสู่การจัดปัญหานี้ร่วมกันดังนี้

1. รัฐบาลจะต้องทำหน้าที่ของรัฐในการปกป้องสิทธิมนุษยชน จากการบิดเบือนระบบกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ในการข่มขู่และปิดปากผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ และการปกป้องนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน (human rights defenders) รวมทั้งหน้าที่ในการกำกับดูแลการใช้วิธีนี้ของบริษัทเอกชนเพื่อคุกคามประชาชนที่ทำหน้าที่บนผลประโยชน์สาธารณะ ปัจจุบันมีเพียงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีบทบาทหลักในการป้องกันและช่วยเหลือผู้ถูกฟ้องคดี SLAPP โดยเป็นการคุ้มครองบุคคลที่เปิดเผยข้อมูลการทุจริตและถูกฟ้องกลับ ให้ถือเป็นผู้แจ้งเบาะแสหรือผู้ร้องเรียน ที่จะได้รับความครอง ทั้งทางแพ่ง อาญา วินัย และปกครอง แต่ ป.ป.ช. จะดำเนินการเฉพาะในคดีทุจริต โดยไม่ได้รวมถึงกรณีผู้บริโภคถูกฟ้องปิดปาก ดังนั้น รัฐบาลจะต้องมีนโยบายและการปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาการใช้เครื่องมือฟ้องคดีปิดปากประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

ขอเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รวมถึงผู้บริหารในรัฐวิสาหกิจ ยุติการใช้อำนาจโดยมิชอบและฟ้องร้องในคดีปิดปากประชาชน ต่อสื่อมวลชนและประชาชนผู้ลุกขึ้นมาตั้งคำถามและตรวจสอบเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ ซึ่งถือเป็นการกลั่นแกล้งคุกคามประชาชนโดยตรง และทำให้รัฐขาดธรรมาภิบาล กลายเป็นรัฐที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยผู้มีอำนาจเสียเอง

2. บริษัทเอกชนจะต้องเคารพสิทธิมนุษยชนและยกเลิกการฟ้องปิดปากประชาชนโดยทันที UNGPs กำหนดให้บริษัทต้องแสดงความรับผิดชอบว่าเคารพสิทธิมนุษยชน ไม่ว่ากฎหมายในประเทศนั้นๆ จะกำหนดไว้อย่างไรบ้าง การฟ้องคดี SLAPP เป็นการละเมิดความรับผิดชอบข้อ 85 นี้อย่างตรงไปตรงมา บริษัทต้องดำเนินกระบวนการตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (HRDD) เพื่อระบุ ป้องกัน และบรรเทาความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน การฟ้องคดี SLAPP สะท้อนว่าบริษัทล้มเหลวในหน้าที่นี้อย่างสิ้นเชิง การฟ้องคดี SLAPP เป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้กระบวนการยุติธรรมอย่างเลือกปฏิบัติเพื่อกลั่นแกล้ง (judicial harassment) ขัดต่อละเมิดหลักการพื้นฐานที่ว่ากระบวนการยุติธรรมควรเป็นกลไกกลางที่เป็นธรรมและเข้าถึงได้ เพื่อแสวงหาการเยียวยาที่มีประสิทธิผลจากกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชน

ขอเรียกร้องให้บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งกำลังดำเนินการฟ้องคดีปิดปากประชาชน ถอนฟ้องประชาชนที่ลุกขึ้นมาตั้งคำถามและปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ โดยเคารพและปฏิบัติการตามหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน เพื่อนำธรรมาภิบาลกับคืนมาสู่องค์กรและสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค โดยสร้างกลไกเวทีสาธารณะในการทำงานแก้ปัญหาเพื่อประโยชน์สาธารณะร่วมกันโดยไม่ใช้การฟ้องคดีปิดปากเป็นเครื่องมือ

3. ขอให้รัฐบาลผลักดันร่างพระราชบัญญัติป้องกันการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณชน พ.ศ. …. (ร่างกฎหมายป้องกันฟ้องปิดปากฯ) เพื่อปกป้องนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน (Human Rights Defender) และป้องกันปัญหาการดำเนินคดีจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ต่อเรื่องที่เป็นประโยชน์สาธารณะ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในหลักการสำคัญทางกระบวนการประชาธิปไตย โดยมีการดำเนินคดีจำนวนมากที่ขัดต่อหลักสิทธิเสรีภาพที่ได้รับรองในรัฐธรรมนูญ ทั้งเสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ และสิทธิที่จะเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ต่อรัฐ เป็นการคุกคามประชาชน สร้างความกลัวและบั่นทอนแรงจูงใจที่จะรักษาสิทธิ์เพื่อรักษาประโยชน์สาธารณะ

หากสิ่งที่พูดหรือเผยแพร่ยังไม่เป็นความจริงแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ รัฐจะต้องมีนโยบายไม่ให้ผู้ถูกฟ้องปิดปากต้องจ่ายค่าชดเชยความเสียหาย หลักการที่เป็นอยู่เดิมในการพิจารณาคดีแพ่งในข้อหาหมิ่นประมาท แตกต่างกับการพิจารณาคดีอาญาตรงที่ว่า ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดนั้นเป็นความจริง หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริงแล้วจะไม่ถือว่าเข้าข่ายความผิดเลย ซึ่งหากเป็นคดีอาญาแม้จะเป็นความจริงก็ยังอาจเป็นความผิดได้อยู่ สำหรับคดีแพ่งหากมีการเผยแพร่ข้อมูลออกไปในเรื่องที่ยังไม่เป็นความจริง แต่เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์กับสาธารณะ ถ้าผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้รู้ว่าไม่เป็นความจริง ก็ไม่ควรต้องจ่ายค่าชดเชยความเสียหายใดๆ หากศาลพิจารณาเห็นว่าเป็นคดีที่เข้าข่ายการฟ้องปิดปากประชาชน ศาลควรมีอำนาจสั่งให้ยุติคดีได้ อีกทั้งยังอาจสั่งให้ฝั่งโจทก์จ่ายค่าเสียหายแก่จำเลยเชิงลงโทษได้ ศาลเองต้องคำนึงว่าต้องทำให้โจทก์ไม่สามารถฟ้องร้องคดีใหม่ได้อีก หากในกรณีที่พิจารณาแล้วว่าไม่เข้าข่ายการฟ้องปิดปาก ศาลก็มีอำนาจให้คดีนั้นเดินหน้าต่อไปได้

อ่านข่าว : พิธีบวงสรวงตัดไม้จันทน์หอม สำหรับจัดสร้างพระโกศจันทน์และพระหีบจันทน์

นายกฯ สั่งเร่งจัดการขยะนับแสนตันพ้นเมืองหาดใหญ่ ยันพื้นที่รองรับเพียงพอ

ไทยโชว์คลิปกัมพูชาใช้ "ทุ่นระเบิดใหม่" ทำทหารบาดเจ็บซ้ำซาก