ชายแดนไทย–กัมพูชา ด้านตะวันออก โดยเฉพาะจังหวัดจันทบุรีและตราด กำลังนับถอยหลังกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังกองทัพเรือและกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด สามารถเข้ายึดพื้นที่บริเวณบ้านสามหลัง บ้านหนองรี จ.ชำราก จ.ตราด จนสามารถสถาปนาความมั่นคงในพื้นที่ โดยทหารนาวิกโยธิน เข้าไปปักธงชาติไทยและทำถนนความมั่นคง และสร้างฐานที่มั่นทหารถาวร
นายก่อเขต จันทเลิศลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักข่าวไทยพีบีเอส สัมภาษณ์พิเศษ พล.ร.ต. ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2568 ท่ามกลางสถานการณ์การสู้รบยังเกิดขึ้นตลอดแนว ดังนั้นเพื่อตั้งรับเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาในอนาคต กองทัพเรือจึงจัดตั้งหมวดเรือหรือกองเรือเฉพาะกิจเพื่อปฏิบัติการต่อเป้าหมายนอกประเทศ โดยยกระดับมาตรการ ด้วยการจัดตั้งหมวดเรือเฉพาะกิจพิทักษ์อ่าวไทย
พล.ร.ต. ปารัช กล่าวว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนด้านจังหวัดจันทบุรีและตราดที่ผ่านมา ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงพื้นที่ภาคพื้นดินเท่านั้น แต่ยังขยายมาสู่มิติทางทะเลอย่างชัดเจน จึงจำเป็นต้องยกระดับความเข้มข้นของการปฏิบัติการ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นจากทะเล และป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
พื้นที่ทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่องบริเวณจังหวัดตราด เดิมอยู่ในความรับผิดชอบของหมู่เรือลาดตระเวนชายแดน ภายใต้กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด และจากสถานการณ์ล่าสุด กองทัพเรือจึง เพิ่มกำลังและยกระดับการปฏิบัติการ เหตุผลคือ ความมั่นคงทางทะเลที่จำเป็นต้องบริหารจัดการให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นเรือของฝ่ายตรงข้ามที่อาจเข้ามาปฏิบัติภารกิจ รวมถึงกำลังของฝ่ายตรงข้ามบริเวณชายฝั่งทะเล ซึ่งยังคงมีอิทธิพลและเป็นภัยคุกคามต่อกำลังภาคพื้นดินของฝ่ายไทย
สำหรับสถานการณ์ในพื้นที่ตำบลชำราก จังหวัดตราด โดยเฉพาะบริเวณบ้านหนองรี บ้านสามหลัง และพื้นที่ใกล้เคียง ยังคงมีความตึงเครียด แม้ว่ากำลังนาวิกโยธินของไทยจะสามารถสถาปนาพื้นที่และยึดพื้นที่ยุทธศาสตร์ได้แล้ว พร้อมชักธงชาติไทยขึ้นในพื้นที่ แต่ฝ่ายตรงข้ามยังคงใช้อาวุธหนักระดมยิงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเย็นจนถึงเช้ามืด ตั้งแต่เวลาประมาณ 18.30 น. เป็นต้นมา
การประเมินขีดความสามารถของฝ่ายตรงข้ามพบว่ายังคงมีกำลังเสริม ทั้งอาวุธและกระสุนที่พร้อมสนับสนุนเพิ่มเติม ส่งผลให้การตอบโต้ยังไม่ลดระดับลง ขณะเดียวกันฝ่ายไทยได้รับการสนับสนุนจากกองทัพอากาศในการปฏิบัติการทางอากาศ เพื่อทำลายเส้นทางส่งกำลังบำรุงของฝ่ายตรงข้าม ทั้งสะพานและเส้นลำเลียงสำคัญ ซึ่งช่วยลดศักยภาพในการเคลื่อนไหวและการสนับสนุนทางยุทธศาสตร์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
“การปฏิบัติการทางอากาศร่วมกับกองทัพเรือครั้งนี้ ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการดำเนินกลยุทธ์ เพราะปัจจัยแวดล้อมเอื้อให้ฝ่ายไทยสามารถควบคุมสถานการณ์และสร้างความได้เปรียบในพื้นที่ได้มากขึ้น”
ในช่วง 1–2 วันที่ผ่านมา ยังพบการใช้โดรนจำนวนมากเข้ามาในพื้นที่ตัวเมืองตราด รวมถึงมีรายงานการใช้อาวุธยิงลูกระเบิดขนาด 40 มิลลิเมตร แบบ M79 ตกใกล้ที่ตั้งของหน่วยนาวิกโยธิน โดยฝ่ายความมั่นคงยอมรับว่า ตั้งแต่สถานการณ์เริ่มตึงเครียดเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีความพยายามในการสอดแนมและส่งข้อมูลข่าวสารให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด จำเป็นต้องประกาศมาตรการเคอร์ฟิวในพื้นที่ เพื่อจำกัดเสรีในการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม และลดความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของประชาชน แม้มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในจังหวัดตราด ครอบคลุม 5 อำเภอ ยกเว้นอำเภอเกาะกูดและเกาะช้าง แต่ฝ่ายปกครองและฝ่ายความมั่นคงได้พยายามอำนวยความสะดวกให้ผู้ที่มีความจำเป็นต้องเดินทางในช่วงเวลากลางคืน โดยขอให้ประสานและแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่
รูปแบบการปฏิบัติการของฝ่ายตรงข้ามเริ่มเปลี่ยนไป โดยเน้นการปฏิบัติการพิเศษและการแทรกซึมเข้ามาในพื้นที่ลึกของฝั่งไทย มากกว่าการยกกำลังทหารเต็มรูปแบบ ซึ่งสร้างความกังวลด้านความปลอดภัย เนื่องจากการโจมตีที่ผ่านมาไม่ได้จำกัดเป้าหมายเฉพาะทางทหาร ส่งผลให้มีประชาชนได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย
“สถานการณ์นี้สะท้อนว่าฝ่ายกัมพูชาเริ่มใช้รูปแบบการปฏิบัติการพิเศษ แทรกซึมเข้ามาลึกในฝั่งไทย ไม่ใช่การยกกำลังทหารเต็มรูปแบบ ซึ่งกองทัพเรือยอมรับว่ามีความกังวล เพราะการปฏิบัติการที่ผ่านมาไม่เลือกเป้าหมาย ทำให้ประชาชนไทยเสียชีวิต บาดเจ็บ และทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก ขณะที่กองทัพไทยพยายามจำกัดความเสียหายให้อยู่เฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น”
ในด้านยุทธศาสตร์ กองทัพเรือให้ความสำคัญกับการตัดเส้นทางสนับสนุนของฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงและยุทธปัจจัยทางทะเล ด้วยการสกัดกั้นการเดินเรือในพื้นที่เสี่ยง ควบคู่กับการปฏิบัติการของกองทัพบกและกองทัพอากาศ เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าสู่กระบวนการสันติภาพโดยเร็ว
ประเด็นดังกล่าวเตรียมนำเสนอให้สภาความมั่นคงแห่งชาติพิจารณา โดยก่อนหน้านี้บริษัทพลังงานรายใหญ่ของไทยได้ให้ความร่วมมือกับกองทัพเรือ ด้วยการระงับการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังกัมพูชาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ยังพบช่องโหว่จากการลำเลียงผ่านประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจำเป็นต้องใช้มาตรการเชิงนโยบายเข้ามาดำเนินการเพิ่มเติม
ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุกรอบเวลาที่ชัดเจนในการคลี่คลายสถานการณ์ได้ แต่ยืนยันถึงความตั้งใจของผู้บัญชาการทหารเรือและคณะผู้บังคับบัญชา ในการยุติสถานการณ์โดยเร็ว เพื่อคืนความสงบให้กับประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนและชุมชนชาวประมงจังหวัดตราดที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
อ่านข่าว
แนวรบตาพระยาเดือด ถล่ม “ปอยเปต” สกัดทหารเขมร ยิงอาวุธหนัก
ศึกชิง “ปราสาทตาควาย–เนิน 350” ชี้ขาดแนวชายแดนไทย–กัมพูชา











