ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

เรื่องจริง Christmas Truce ฟุตบอลในสนามรบ สงครามโลกครั้งที่ 1

ต่างประเทศ
10:46
500
เรื่องจริง Christmas Truce ฟุตบอลในสนามรบ สงครามโลกครั้งที่ 1
ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี 1914 ทหารอังกฤษและเยอรมันหยุดยิงชั่วคราวเพื่อฉลอง "คริสต์มาส" มีพบปะ แลกของขวัญ ร้องเพลง และเล่นฟุตบอลกลางสนามรบ กลายเป็นสัญลักษณ์สันติภาพท่ามกลางความโหดร้าย แม้จะถูกสั่งห้าม แต่เหตุการณ์นี้ยังคงเป็นแรงบันดาลใจจนถึงปัจจุบัน

การหยุดรบเพื่อฉลองคริสต์มาส หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Christmas Truce" เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่โด่งดังที่สุดในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเกิดขึ้นหลายจุดบริเวณแนวรบตะวันตก ครอบคลุมประเทศเบลเยียม ฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก และชายแดนเยอรมนี ในเดือนธันวาคม ค.ศ.1914 (พ.ศ. 2457) หลังจากสงครามปะทุมา 5 เดือน ทหารฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส และเบลเยียม กับฝ่ายมหาอำนาจกลางอย่างเยอรมัน ต่างติดอยู่ในคูเลตแนวรบที่โหดร้าย ท่ามกลางความหนาวเย็น หิมะ และความสูญเสียมหาศาล

แต่แล้วในคืนคริสต์มาสอีฟ บรรยากาศแห่งเทศกาลกลับจุดประกายสันติภาพชั่วขณะ ข้อมูลจาก Imperial War Museum ระบุว่า ทุกอย่างเริ่มต้นจากเสียงเพลงคริสต์มาสที่ดังก้องจากค่ายเยอรมัน ทหารอังกฤษได้ยินเสียงร้องเพลง "Silent Night" และเห็นแสงสว่างจากโคมไฟ ต้นคริสต์มาสขนาดเล็กประดับตามแนวคูเลต

ต่อมา ทหารทั้ง 2 ฝ่ายจึงเริ่มตะโกนสื่อสารข้ามแนวรบ ส่งข้อความเชิญชวนให้พบกันในเขต "No Man's Land" หรือเขตปลอดทหารที่เต็มไปด้วยลวดหนามและศพที่ยังไม่ได้ฝัง

เช้าวันคริสต์มาส ทหารจำนวนมากปีนออกจากคูเลต เพื่อพบปะกันอย่างไม่เป็นทางการ พวกเขาจับมือ ทักทาย แลกเปลี่ยนของขวัญอย่าง บุหรี่ ไวน์ ช็อกโกแลต และ อาหารกระป๋อง บางกลุ่มช่วยกันฝังศพทหารที่เสียชีวิตก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นการกระทำที่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ขณะที่บางแห่งมีการตั้งร้านตัดผมชั่วคราว โดยทหารอังกฤษเรียกเก็บค่าบริการเป็นบุหรี่จากทหารเยอรมัน

และที่โด่งดังที่สุดคือ การแข่งขันฟุตบอลที่ไม่เป็นทางการ ทหารนำลูกบอลจากคูเลตมาเตะกันบนพื้นน้ำแข็ง โดยใช้เสื้อโค้ทเป็นเส้นประตู แม้ไม่มีผู้ชนะอย่างเป็นทางการ แต่เกมนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพชั่วข้ามคืน เว็บไซต์ History.com ระบุว่า มีบันทึกของ ร.ท.โทเคิร์ต เซห์มิช จากกองทหารราบซัคซอนที่ 134 ทหารเยอรมันว่า

ในที่สุด ชาวอังกฤษนำลูกฟุตบอลมาจากแนวรบของพวกเขา และไม่นานนัก การแข่งขันที่คึกคักก็เริ่มขึ้น คริสต์มาส การเฉลิมฉลองแห่งความรัก นำศัตรูมาร่วมเป็นเพื่อนกันชั่วคราว

เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นทั่วแนวรบยาวกว่า 700 กิโลเมตร แต่กระจายเป็นจุด ๆ ในพื้นที่อย่าง Bois de Ploegsteert ทางเบลเยียม และ Ypres โดยมีทหารเข้าร่วมประมาณหลายหมื่นคนจากทั้ง 2 ฝ่าย ข้อมูลจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติสหราชอาณาจักร (The National Archives) ระบุว่า ในบันทึกสงครามของกองบริดจ์ทหารราบที่ 15 เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.1914 เขียนถึงการพบปะที่เกิดขึ้นราว 200 นายจากฝ่ายอังกฤษและเยอรมัน

ที่มา : Imperial War Museum

ที่มา : Imperial War Museum

ฝ่ายเยอรมันนำกล่องซิการ์มาแลกเปลี่ยน และประกาศหยุดยิงชั่วคราวระหว่าง 25-27 ธ.ค. เพื่อหลีกเลี่ยงการสนทนาเรื่องสงคราม พวกเขายังแสดงเอกสารอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับชัยชนะของรัสเซียและออสเตรีย เพื่อสร้างความเป็นมิตร ทหารเยอรมันอ้างว่าสงครามจะจบใน 2 เดือนด้วยชัยชนะของพวกเขา บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น ไร้วี่แววของความเกลียดชัง

ความสำคัญของ Christmas Truce อยู่ที่การแสดงให้เห็นถึง "มนุษยธรรม" ที่ยังหลงเหลืออยู่ท่ามกลางสงครามที่เริ่มต้นด้วยความหวังว่าจะจบเร็ว แต่กลายเป็นฝันร้ายด้วยอาวุธสมัยใหม่และการขุดคูเลตตามแนวรบ ทหารส่วนใหญ่เชื่อว่าสงครามจะยุติภายในคริสต์มาส 1914 แต่หลังจากความพ่ายแพ้ในสมรภูมิอย่าง Tannenberg และ Marne ทำให้ขวัญกำลังใจตกลง

หลังเหตุการณ์นี้ ผู้บังคับบัญชาของทั้ง 2 ฝ่ายสั่งห้ามไม่ให้จัดงานแบบนี้ขึ้นอีก เพราะความกังวลว่าจิตวิญญาณการรบจะถูกทำลาย และยังมีบทลงโทษสำหรับทหารที่ฝ่าฝืน

ในปีต่อ ๆ มา มีเหตุการณ์คล้ายกันอยู่บ้าง เช่น การหยุดยิงเพื่อเก็บศพหรือซ่อมพื้นที่แนวรบ แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์ใดที่สื่อถึงสันติภาพและมนุษยธรรมได้เทียบเท่าเหตุการณ์ปี 1914 Imperial War Museum ระบุว่า แม้จะเป็นตำนานที่แทบไม่อยากจะคิดว่าเกิดขึ้นจริง แต่ด้วยเอกสาร จดหมาย และภาพถ่ายในพิพิธภัณฑ์ เป็นหลักฐานที่ยืนยันถึงสันติภาพที่เกิดขึ้นในสมรภูมิรบแม้จะเป็นเพียงชั่วขณะหนึ่ง

นอกจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว ยังมีเหตุการณ์คล้ายกันในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะในสมรภูมิ Ardennes หรือ Battle of the Bulge เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.1944 ท่ามกลางการรบดุเดือดในป่า Huertgen ประเทศเบลเยียม ฟริตซ์ วินเค็น เด็กชายวัย 12 ปี ชาวเยอรมัน และมารดาได้ให้ที่พักพิงแก่ทหารอเมริกัน 3 นายที่หลงทาง หลังจากที่พวกเขาหลบหนีในป่ามาแล้ว 3 วัน

ไม่นานทหารเยอรมัน 4 นายที่หลงทางเช่นกัน ก็เคาะประตูกระท่อม แม่ของฟริตซ์ยืนกรานว่า "คืนนี้จะต้องไม่มีใครยิงกัน เพราะเป็นคริสต์มาสอีฟ" จากนั้นเธอเตรียมอาหารที่เก็บไว้ให้สามี แก่ทหารทั้ง 2 ฝ่าย โดยใช้ภาษาฝรั่งเศสสื่อสาร แบ่งปันไวน์ ขนมปังไรย์ และร้องเพลง ก่อนคริสต์มาส พวกเขามองดาวฤกษ์แห่งเบธเลเฮ็มด้วยความเงียบสงบ เช้าวันคริสต์มาส พวกเขาจับมือลากันและจากไปสู่แนวรบของตน

คณะกรรมการอนุสรณ์สถานยุทธศาสตร์อเมริกัน (American Battle Monuments Commission หรือ ABMC) ระบุว่า เหตุการณ์นี้บันทึกจากคำบอกเล่าของฟริตซ์ วินเค็น แสดงถึงช่วงเวลาสันติภาพสั้น ๆ ท่ามกลางการรุกของเยอรมันที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 19,000 นาย แม้จะไม่ใช่การหยุดยิงกว้างขวาง แต่เป็นตัวอย่างของความเมตตาที่เกิดขึ้นเอง

ที่มา : Imperial War Museum

ที่มา : Imperial War Museum

เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนว่า "คริสต์มาส - เทศกาลแห่งสันติภาพและความรัก" สามารถละลายกำแพงศัตรูได้ชั่วขณะ แม้ในสนามรบที่โหดร้ายที่สุดในปี 1914 ที่เกิดจากความเหนื่อยล้าของทหารรุ่นใหม่ที่ยังไม่ชินกับสงครามที่ยืดเยื้อ ปี 1944 ความเห็นอกเห็นใจที่เกิดจากครอบครัวธรรมดา ทหารอังกฤษคนหนึ่งเขียนจดหมายถึงภรรยาว่า "ถ้าเราไม่ยิงกันในวันนั้น ทุกอย่างก็ยังเงียบสงบราวกับความฝัน" และอีกคนกล่าวว่า "ที่นี่ เราหัวเราะและพูดคุยกับคนที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เรายังพยายามเข่นฆ่ากัน" แสดงถึงความขัดแย้งในใจของมนุษย์

เหตุการณ์ Christmas Truce ยังถูกนำไปสร้างภาพยนตร์ภาษาฝรั่งเศสเรื่อง Joyeux Noël เพื่อเตือนใจถึงคุณค่าของสันติภาพ IWM มีวิดีโอและพอดแคสต์ "Voices of the First World War" ที่เล่าเรื่องคริสต์มาสในสงคราม เพื่อพิสูจน์ว่าความหวังสามารถเกิดขึ้นได้แม้ในความมืดมิดของสงคราม

ที่มา : The Football History Boys, Imperial War Museums, Christmas Eve 1944: a brief moment of peace on the battlefield, WWI’s Christmas Truce: When Fighting Paused for the Holiday

อ่านข่าวอื่น :

2 แคนดิเดตนายกฯ "เพื่อไทย" เข้าพบ "ส.อ.ท."

ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยาน 6 ปาก ปมแทรกแซงคดีฮั้ว สว.

"อนุทิน" นำภูมิใจไทยเปิดสโลแกน "พูดแล้วทำพลัส" สู้เลือกตั้ง 69