การกลับมาของการ์ตูนอนิเมชั่นจีน

หลังจากยุคมืดที่สื่อบันเทิงกลายเป็นเรื่องต้องห้ามในจีน การเปิดประเทศอีกครั้งจึงเป็นเหมือนศักราชใหม่ของวงการอนิเมชั่น ทั้งการเร่งพัฒนาศักยภาพของบุคลากร และปัจจัยเสริมอย่างการเติบโตของโรงภาพยนตร์ ประเดิมด้วยการนำการ์ตูนเก่ายอดนิยมมาทำใหม่ ในรูปแบบสามมิติ

ซุนหงอคง ตัวเอกจากวรรณคดีคลาสสิคของจีนเรื่อง ไซอิ๋ว ที่เคยสร้างเป็นการ์ตูนโทรทัศน์เมื่อ 50 ปีก่อน ได้ถูกนำกลับมาเนรมิตให้ทันสมัยด้วยเทคโนโลยีสามมิติ ในชื่อ The Monkey King: Uproar in Heaven หนึ่งในความก้าวหน้าของวงการอนิเมชั่นจีน ที่กลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากถูกสั่งห้ามมานาน

 ไม่เพียงต้องปรับปรุงภาพให้คมชัดและแต่งเติมฉากหลังให้เข้ากับขนาดของจอภาพยนตร์ปัจจุบัน แต่ยังรวมถึงเพลงประกอบทุกเพลงต้องนำมาทำใหม่ ซึ่ง Su Da หนึ่งในผู้กำกับ ยอมรับว่าหนังจากตะวันตกที่เข้ามา มีผลให้ชาวจีนหันไปดูหนังขายเอฟเฟ็กต์มากขึ้น จึงต้องปรับให้เข้ากับรสนิยมผู้ชมที่เปลี่ยนไปด้วย

ความสำเร็จของ The Monkey King ถือเป็นตัวแทนอนิเมชั่นยุคบุกเบิกของจีน แต่การห้ามฉายในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม และผู้ผลิตถูกสั่งสร้างแต่การ์ตูนชาตินิยม ถือเป็นยุคมืดของวงการ ทำให้เสียเปรียบเมื่อต้องแข่งขันกับผู้ผลิตจากญี่ปุ่นและฮอลลีวู้ด ที่เริ่มเข้ามาบุกตลาดในจีนมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นค่าย DreamWorks ที่ส่งการ์ตูนที่มีฉากหลังเป็นเมืองจีนอย่างกังฟูแพนด้า ซึ่งภาค 2 ทำลายสถิติรายได้สูงสุดในบ็อกซ์ออฟฟิศจีนเมื่อกลางปีที่ผ่านมา หรือบริษัท IMAX ที่เพิ่มโรงภาพยนตร์ในจีนจาก 13 โรงเป็น 50 โรงในปีที่แล้ว และวางแผนจะขยายให้ถึง 150 โรงด้วยการร่วมทุนกับโรงหนังท้องถิ่นภายในปี 2015

ปัจจุบันคนจีนรุ่นใหม่ให้ความสนใจอนิเมชั่นมากขึ้น โดยมีบัณฑิตที่เรียนจบสาขาอนิเมชั่นโดยตรงประมาณ 70,000 คน สาขาที่เกี่ยวข้องมากกว่า 400,000 คน มีบริษัทรองรับเกือบ 5,500 แห่ง ทั้งรัฐบาลยังเห็นความสำคัญและเข้ามาสนับสนุนด้วยมาตรการทางภาษีตั้งแต่ปี 2004

Liu Hong เจ้าของเซี่ยงไฮ้การ์ตูน หนึ่งในสตูดิโอเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในจีนมองว่าเป็นนโยบายที่เข้ามาถูกจังหวะ สำหรับก้าวแรกในการพัฒนาอนิเมชั่นจีน โดยในปีนี้หนังสามเรื่องจากสตูดิโอของเธอทั้ง The Bund, Momo Island และ Happy Xing Xing คือหนึ่งในอนิเมชั่นคลื่นลูกใหม่ที่ทำรายได้งาม และได้รับอีกหลายรางวัล