“202 ใน 423,973”
ตัวเลขด้านบนนี้ไม่ใช่รหัสลับดาร์วินชี แต่เป็นการเปรียบเทียบจำนวนล่ามภาษามือกับจำนวนคนพิการทางการได้ยินหรือการสื่อความหมาย ที่มีอยู่ในประเทศไทย
เทียบหลักร้อยกับหลักแสน แม้จะยังไม่ได้เติมหน่วยเป็น “คน” ตามหลัง ดูแค่นี้ก็พอจะเห็นถึงความแตกต่าง นั่นทำให้เราตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในชีวิตจริงว่า ล่ามภาษามือที่มีเพียงหลักร้อย จะคอยให้บริการคนพิการทางการได้ยินที่มีอยู่หลักแสนคนได้อย่างไร
หรือนี่จะเป็นสัญญาณเตือนว่า “ล่ามภาษามือไทย” กำลังขาดแคลน ?
Thai PBS ชวนคุณมาทำความรู้จักกับล่ามภาษามือไทย 2 คน จากจำนวน 202 คน ทั่วประเทศ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นบนอาชีพนักสื่อสารแห่งโลกไร้เสียง, สถานการณ์ล่ามภาษามือไทยในตอนนี้ ไปจนถึงคำถามยาก ๆ แต่น่าสนใจ เช่น อนาคตของล่ามภาษาไทย ในวันที่เทคโนโลยี AI ครองโลก
2 คน 2 จุดเริ่มต้นบนอาชีพ “ล่ามภาษามือ”
“ต้นหลิว” วรลักขณา ขวัญสู่ เป็นแหล่งข่าวคนแรกที่เราติดต่อไป เพราะเคยเห็นเธอล่ามภาษามือผ่านจอสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ เวลามีข่าวคราวที่รัฐสภาค่อนข้างบ่อย ซึ่งเธอก็ให้สัมภาษณ์ถึงจุดเริ่มต้นของอาชีพล่ามภาษามือนี้ว่า เกิดจากความบังเอิญล้วน ๆ
“หลิวไม่ได้มีคนรอบตัวหรือคนรอบข้างเป็นคนหูหนวก จนมีโอกาสได้ไปงาน Open House ของมหาวิทยาลัยมหิดล แล้วบังเอิญไปเห็นวิทยาลัยราชสุดาในตอนนั้น เป็นนำเสนอคณะโดยมีพี่ ๆ ล่ามภาษามือมาสอนคำศัพท์ เราดูแล้วเราก็ยังงงว่า มันมีถึงขนาดเป็นคณะเลยเหรอ เพราะสิ่งที่เราเคยเห็นเกี่ยวกับล่ามภาษามือ เราเห็นแค่ในโทรทัศน์ เราไม่เคยรู้เลยว่าล่ามภาษามือจะทำงานแบบไหน หรือทำอะไรได้บ้าง”

ต้นหลิวกลับมาที่บ้านพร้อมใบโบชัวร์แนะนำคณะ 1 แผ่น ที่ระบุว่าหากเลือกเรียนที่วิทยาลัยราชสุดา จะสามารถต่อยอดเป็นอาชีพอะไรได้บ้าง ซึ่งมีอาชีพนักจิตวิทยาคนพิการ ที่เป็นความฝันเล็ก ๆ ของต้นหลิว เด็กสาวชั้น ม. 6 คนนั้น ที่อยากเป็นนักจิตวิทยาพอดิบพอดี เธอจึงตัดสินใจเลือกวิทยาลัยราชสุดา เป็น 1 ใน 4 อันดับแอดมิชชันทันที
ตัดภาพมาที่พี่เจี๊ยบ ผศ.ดร. ภริมา วินิธาสถิตย์กุล จุดเริ่มต้นบนอาชีพล่ามภาษามือของเธอเกิดขึ้นที่คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว

“จำได้ว่าตอนนั้น มันจะมีสาขาหนึ่งที่เรียกว่า สาขาหลักสูตรการสอนเด็กพิเศษ เป็นสาขาที่จะสอนเด็กที่มีความบกพร่องต่าง ๆ พี่เลือกสอนเด็กหูหนวกก็เลยได้เรียนรู้ภาษามือไปด้วย” พี่เจี๊ยบเล่าย้อนกลับไปในสมัยที่เธอยังมีสถานะเป็นนักศึกษา ก่อนจะกลายมาเป็นอาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตสาขาวิชาล่ามภาษามือ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต อย่างที่เป็นทุกวันนี้ ด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม
ปรับตัวกับไวยากรณ์และวัฒนธรรม ระหว่างคนหูหนวกและคนหูดี
หลังจากที่ได้เข้าไปเรียน ชีวิตของต้นหลิวและพี่เจี๊ยบเองก็ไม่ต่างจากนักศึกษาปี 1 ทั่ว ๆ ไป ที่ต้องปรับตัวกับสังคมใหม่ เพื่อนใหม่ และวิชาเรียนใหม่ แต่สิ่งที่ท้าทายกว่าคือการเรียนรู้วัฒนธรรมและไวยากรณ์ของคนหูหนวก ซึ่งแตกต่างจากชีวิตตลอด 10 กว่าปีที่ใช้ที่โรงเรียน ในสมัยประถมหรือมัธยมโดยสิ้นเชิง
เพราะการสื่อสารของคนหูดี จะมีการเรียบเรียงประโยค เป็นประธาน + กริยา + กรรม ซึ่งเน้นไปที่ตัวผู้กระทำเป็นหลักว่า “ใคร” กำลังจะทำอะไร ในขณะที่คนหูหนวกจะเรียบเรียงประโยคเป็น กรรม + ประธาน + กริยา เพื่อให้คนหูหนวกมองแล้วสามารถตีความเป็นภาพได้เร็วที่สุดว่า “ใคร” กำลังเกิดอะไรขึ้น
ยกตัวอย่างเช่นคำว่า “ฉันกินข้าว”
ภาษาไทยของคนหูดี เมื่อต้องการจะสื่อสารเรื่องการกินข้าว เราจะให้ความสำคัญกับคำว่า “ฉัน” กำลังกินข้าว แต่สำหรับคนหูหนวก เมื่อต้องการจะสื่อสารว่าฉันกินข้าว เขาจะเรียบเรียงประโยคโดยการนำ “ข้าว” ขึ้นมาไว้ข้างหน้า แล้วทำท่ากิน เราไม่สามารถนำภาษาไทยมาแปลงเป็นคำ ๆ แล้วทำมือกำกับตามไปด้วยได้ เพราะจะไม่เป็นภาพ - นี่คือความแตกต่างของภาษามือกับภาษาพูด ซึ่งคนที่จะเป็นล่ามภาษามือก็ต้องทำความเข้าใจ
“เคยมีวันหนึ่งรุ่นพี่ติดต่อให้มาล่ามภาษามือ เป็นการแสดงมุทิตาจิตของลูกศิษย์กับอาจารย์ในเพลงพระคุณที่ 3 ก็ล่ามเป็นเพลงไปเลยค่ะ ได้ภาษามือครบทุกคำเป๊ะ ๆ เลยนะคะ แต่คนหูหนวกดูแล้วงง เพราะมันเป็นการใช้ภาษามือตามคำแบบคนหูดี มันไม่เป็นภาพ
คราวนี้ก็เลยเอาใหม่ ต้องแปลความหมายของเพลงในหัวว่า อ๋อ เพลงนี้เราขอบคุณครูบาอาจารย์นะ ที่มาช่วยเหลือเรา แล้วค่อยนำมาทำเป็นภาษามือ มันก็คือการเอาความหมายของเพลงมาผลิตเป็นการแปลอีกครั้งหนึ่ง” พี่เจี๊ยบเล่าถึงประสบการณ์การแปลก้าวสำคัญที่ทำให้เธอเข้าใจโลกของภาษามือชัดเจนขึ้น
ในขณะที่ต้นหลิวมองว่าความยากของภาษามือ ไม่ใช่แค่การเรียนรู้คำศัพท์ทั่วไป แต่เป็นการที่ต้องเข้าไปกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมคนหูหนวก เพื่อเรียนรู้ว่าคนหูหนวกใช้ชีวิตกันอย่างไร
“เอกล่ามภาษามือที่หลิวเรียน จะมีแต่คนหูดีทั้งหมด ส่วนพี่ ๆ ที่หูหนวกจะเรียนครูกัน มันอาจจะมี Culture Shock บ้าง ในช่วงแรก ๆ เรื่องวัฒนธรรม เช่น เวลาเราทานข้าว คนหูดีอาจจะไม่ค่อยคุยกัน คือจะทานให้เสร็จแล้วค่อยคุย แต่คนหูหนวก เขาจะกินไปด้วย แล้วก็คุยหรือทำมือไปด้วย” เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันที่ทำให้เห็นความต่างในการใช้ชีวิตของคนหูดีและคนหูหนวก
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือภาษามือในแต่ละภูมิภาค หรือแต่ละประเทศก็มีความแตกต่างกันตามวิถีชีวิตของคนหูหนวกด้วย
“ยกตัวอย่างเช่น คำว่า “มังคุด” ถ้าเป็นภาษามือภาคกลาง เราจะใช้การผ่าลงแล้วบิด เหมือนเราทานมังคุดปกติ แต่ถ้าภาษามือภาคเหนือกับภาคอีสาน เราจะใช้การผ่า แล้วก็ทำมือเป็นสีม่วง แต่ถ้าเป็นภาคใต้ เวลาเราจะเรียกชื่อมังคุด เราจะนำมือขวามือซ้ายมาประสานกัน” ต้นหลิวอธิบายให้เห็นความแตกต่างของภาษามือไทยในแต่ละท้องถิ่น ที่มีความแตกต่างกันตามวิถีชีวิตของคนหูหนวกในภูมิภาคนั้น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ล่ามภาษามือทั้ง 202 คนในประเทศต้องเรียนรู้อยู่เสมอ
ความแตกต่างและประเภทของล่ามภาษามือกับล่ามภาษาพูด
ต้นหลิวเล่าว่าล่ามภาษามือในไทยยังไม่ได้มีการแบ่งประเภทเหมือนล่ามภาษาอื่น ๆ ที่ต้องมีการสอบวัดระดับ ขอแค่ให้ได้เข้าไปสอบแล้วได้บัตรล่ามภาษามือชุมชน เพื่อยืนยันว่าผ่านการประเมินมา หากใครมีบัตรล่าม ทุกคนก็ถือว่าเป็นล่ามภาษามือ ดังนั้น การแบ่งประเภทของล่ามภาษามือจึงขึ้นอยู่กับการให้บริการมากกว่า ว่าใครที่มีบัตรล่ามแล้วเอาไปทำอะไรได้บ้าง
งานล่ามภาษามือที่ได้รับค่าตอบแทนจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะแบ่งออกเป็น 5 ประเภท โดยแต่ละงานก็จะได้ค่าตอบแทนแตกต่างกัน
1. บริการสาธารณสุขหรือพบแพทย์
2. บริการด้านอาชีพหรือการสมัครงาน
3. บริการด้านการกล่าวทุกข์ร้องโทษ เช่น ไปสถานีตำรวจ หรือไปศาล
4. บริการการประชุมและอบรมสัมมนา
5. บริการสาธารณะ เช่น ทำบัตรประชาชน หรือใบขับขี่ เป็นต้น
โดยงานบริการล่ามภาษามือ ประเภทที่ 1, 2, 3 และ 5 จะได้ค่าตอบแทนชั่วโมงละ 300 บาท ส่วนงานบริการประเภทที่ 4 จะได้ค่าตอบแทนชั่วโมงละ 600 บาท แต่มีการกำหนดชั่วโมงการทำงาน ให้ทำงานได้ไม่เกิน 6 ชั่วโมงต่อวัน
เช็กจำนวนล่ามภาษามือในไทย 202 คน อยู่จังหวัดไหนกันบ้าง ?
จากรายงานสรุปข้อมูลการจดแจ้งเป็นล่ามภาษามือชุมชน กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ข้อมูล ณ วันที่ 10 ก.ย. 67 พบว่าล่ามภาษามือไทยตอนนี้มี 202 คนทั่วประเทศ โดยแบ่งเป็นล่ามภาษามือหูดี 186 คน, ล่ามภาษามือหูหนวก 8 คน และล่ามภาษามือหูตึง 2 คน

นอกจากนี้ ยังพบว่าจังหวัดที่มีล่ามภาษามือคอยให้บริการประชาชนมีเพียง 44 จังหวัด (จากทั้งหมด 77 จังหวัด) ส่วนใหญ่กระจุกตัวในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยจังหวัดที่มีล่ามภาษามือมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ (75 คน) , นครปฐม (21 คน) และนนทบุรี (17 คน)
โดยจังหวัดที่มีล่ามภาษามือ 1 คน มีทั้งหมด 22 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา, ตราด, นครนายก, พระนครศรีอยุธยา, เพชรบุรี, สระบุรี, ตาก, น่าน, พะเยา, เพชรบูรณ์, ขอนแก่น, นครพนม, บุรีรัมย์, มุกดาหาร, ร้อยเอ็ด, สกลนคร, สุรินทร์, หนองบัวลำภู, อุบลราชธานี, พังงา, พัทลุง และ สตูล
จังหวัดที่มีล่ามภาษามือในพื้นที่เพียง 2 คน มีทั้งหมด 8 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี, ปทุมธานี, สมุทรสาคร, กำแพงเพชร, นครสวรรค์, พิษณุโลก, ลำพูน และระนอง
จังหวัดที่มีล่ามภาษามือในพื้นที่ 3 คน มีทั้งหมด 4 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี, ปราจีนบุรี, สมุทรปราการ และสุราษฎร์ธานี
จังหวัดที่มีล่ามภาษามือในพื้นที่ 4 คน มี 2 จังหวัด คือลำปาง และอุดรธานี
จังหวัดที่มีล่ามภาษามือในพื้นที่ 8 คน มี 2 จังหวัด คือ กาญจนบุรี และเชียงใหม่
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อสารความหมาย ที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ ทั้งหมด 423,973 คน จากฐานข้อมูลทะเบียนกลาง ของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 67 โดยภูมิภาคที่มีคนพิการทางการได้ยินมากที่สุดคือภาคอีสาน (162,456 คน) รองลงมาคือ ภาคกลางและตะวันออก (84,350 คน) ภาคใต้ (55,020 คน) และ กทม. (22,884 คน)
ที่ผ่านมามันจะมีการเซ็ตซีโร่ โดยให้ทุกคนที่มีบัตรล่ามแล้ว ต้องผ่านการจัดสอบวัดการประเมินคุณภาพล่าม เพราะมีคนหูหนวก ซึ่งเป็นผู้รับบริการ บอกว่าล่ามบางคนแปลยังไม่ได้มาตรฐาน
เวลาคนหูหนวกเขาทำภาษามือ แล้วเราแปลได้ไม่ถูกต้อง เลยมีข้อเสนอไปที่กรม พก. ให้มีการจัดสอบวัดผลการประเมินให้ผ่านตามมาตรฐาน แล้วก็จะได้บัตรล่ามภาษามือชุมชน” ต้นหลิวกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการสอบประเมินล่ามภาษามือชุมชน
ทางสมาคมล่ามภาษามือแห่งประเทศไทย เคยวิเคราะห์ข้อมูลเฉลี่ยความสามารถในการให้บริการด้านภาษามือชุมชนไว้ว่า คนหูหนวก 10 คนต่อล่ามภาษามือ 1 คน ดังนั้น ประเทศไทยควรมีล่ามภาษามือในสัดส่วนที่เหมาะสมประมาณ 42,000 คน
ล่ามกระจุก แต่คน (หูหนวก) กระจาย AI ช่วยได้จริงหรือ ?
คุณ A (นามสมมติ) หนึ่งในคนหูหนวกที่เราได้ทำการสัมภาษณ์แชร์ประสบการณ์ว่า ทุกครั้งเวลาที่ต้องไปหาหมอหรือตรวจสุขภาพโดยไม่มีล่ามภาษามือ จะเจอปัญหาด้านการสื่อสาร ซึ่งต่อให้มีเทคโนโลยีหรือ AI เข้ามาช่วย ก็ไม่ทำให้อุ่นใจขึ้น
“มีผลมาก ๆ เวลาที่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลคนเดียว แล้วมีการเรียกคิว ถ้าล่ามไม่ได้มาด้วย แต่อยู่ใน Video Call ล่ามไม่ได้ยิน เราก็ไม่รู้ บางครั้งเจ้าหน้าที่ก็ไม่เข้าใจขั้นตอนการให้บริการกับคนหูหนวก ไม่มีคนนำเราไปที่จุดบริการแต่ละจุด ดังนั้น การสื่อสารเวลาอยู่กับล่ามภาษามือตัวจริงเลยชัดเจนกว่า คุยได้เข้าใจมากกว่า”
ในขณะที่ คุณ T (นามสมมติ) คนหูหนวกอีกคนหนึ่งก็มองว่า การมีล่ามภาษามือทำให้ “กำแพงการสื่อสาร” ระหว่างคนหูหนวกกับคนหูดีลดลง
“การมีล่ามภาษามือตัวเป็น ๆ ไปหาหมอกับคนหูหนวก ทำให้การสื่อสารง่ายขึ้น เพราะล่ามสามารถแปลภาษาจากหมอให้เราเข้าใจง่ายขึ้น และสามารถแปลอาการของเราให้หมอเข้าใจได้ง่ายขึ้น
แต่คนหูหนวกเวลาไปหาหมอคนเดียว แล้วใช้แอปพลิเคชัน อาจจะเจอผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เช่น บางพื้นที่เป็นจุดอับสัญญาณอินเตอร์เน็ต ทำให้การใช้งานแอปฯ มีปัญหา บางโรงพยาบาลก็ห้ามใช้หรือห้ามนำโทรศัพท์เข้าไปในห้อง บางครั้งแอปฯ ก็แปลได้ไม่ถูกต้อง ทำให้การรักษาเสี่ยงผิดพลาด”
ซึ่งในมุมมองของต้นหลิวเอง เธอก็มองว่า เทคโนโลยีหรือ AI ยังไม่สามารถแทนล่ามภาษามือตัวเป็น ๆ อย่างเธอได้ในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะขาดองค์ประกอบทางภาษามือ ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าท่าทาง การพลิกหันฝ่ามือ หรือตำแหน่งมือ
“มีเยอะมากเลยค่ะ ทุกวันนี้ เวลาน้อง ๆ นักศึกษาทำโปรเจคจบ บางทีเขาจะทำเป็น AI บ้าง แอปพลิเคชันบ้าง แต่โดยส่วนมากจะเป็นการ์ตูนค่ะ ซึ่งหน้าการ์ตูนก็จะเรียบ คนหูหนวกก็จะให้ความเห็นกลับไปว่า เออ มันเข้าไม่ถึง ไม่มีอารมณ์ เพราะว่าหน้ามันเรียบไปหมดเลย คือมันไม่ใช่ภาษามือ ภาษามือจะต้องประกอบไปด้วยสีหน้าท่าทาง หรือการพลิกหันฝ่ามือ เพียงแค่เราหลุดไปนิดเดียว คำหรือความหมายมันก็เปลี่ยน ซึ่ง AI ยังเก็บข้อมูลตรงนี้โดยละเอียดไม่ได้” ต้นหลิวกล่าว
นานามิติชีวิตของล่ามภาษามือ ซึ่งคนภายนอกไม่เข้าใจ
แน่นอนว่าการขาดแคลนล่าม หรือล่ามกระจุกตัวเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้คนหูหนวกไม่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพหรือบริการสาธารณะด้านต่าง ๆ ได้ โดยต้นหลิวมองว่าสาเหตุที่ทำให้ล่ามภาษามือไม่สามารถกระจายไปในภูมิภาคต่าง ๆ ได้ อาจเป็นเพราะตำแหน่งงานที่อยู่ตามจังหวัดใหญ่ ๆ และสวัสดิการที่ไม่ครอบคลุม
“คนหูหนวกที่อยู่กรุงเทพ ฯ จะได้ล่ามแน่นอน ที่จะไปบริการ เพราะว่าล่ามมีเยอะ แต่พอเป็นคนต่างจังหวัด สมมติว่าล่ามอยู่สงขลา แล้วล่ามต้องไปให้บริการที่ยะลา ปัตตานี หรือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลิวมองว่ามันไม่คุ้มค่า มันไม่คุ้มที่ล่ามเขาจะต้องเดินทางไป มันมีอะไรอีกเยอะ ทั้งระยะทาง ทั้งความปลอดภัย ซึ่งมันไม่ได้มีใครมาการันตี หรือรับรองดูแลเรา
ส่วนใหญ่ล่ามที่มีสังกัด ซึ่งทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยหรือองค์กรต่าง ๆ พวกบริษัทก็อาจจะมีประกันสังคมให้เขา แต่ถ้าเป็นล่ามฟรีแลนซ์ก็คือต้องดูแลตัวเอง ไม่มีอะไรที่รองรับเขาได้เลย”
อีกหนึ่งปัญหาที่ล่ามภาษามือและคนหูหนวกพบเจอกันบ่อย คือความเข้าใจผิดจากคนที่ไม่ใช่ล่ามภาษามือจริง ๆ ซึ่งเป็นผู้ที่พอจะมีความรู้เรื่องภาษามืออยู่บ้าง แต่แปลความหมายคลาดเคลื่อนจากสารตั้งต้นไปไกลโข
“บางครั้งมันก็ส่งผลถึงการจ้างงานล่ามภาษามืออยู่เหมือนกัน เพราะบริษัทอื่น ๆ เขามองเข้ามาแล้วเห็นคนใช้ภาษามือ เขาก็ไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิด เขาไม่รู้ว่าคนที่ทำมือได้ไม่ใช่ล่าม เดี๋ยวนี้เขาจะชอบเช็กจากยอดผู้ติดตาม แต่ปรากฎว่าแปลออกมาแล้ว “คนหูหนวก” ซึ่งถือเป็นผู้รับบริการไม่เข้าใจ ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับล่าม ก็คือบัตรล่ามภาษามือ” ต้นหลิวกล่าวทิ้งท้าย
การแก้ปัญหาล่ามภาษามือขาดแคลน-กระจุกตัวในเมืองใหญ่ ควรแก้ไขอย่างไร ?
หากมองภาพให้เป็นภาพใหญ่ในระดับประเทศ ต้นหลิวมองว่าการให้บริการของรัฐ อาจจะต้องกระจายตำแหน่งงานไปที่ต่างจังหวัดมากยิ่งขึ้น
ถ้าสามารถทำได้ หลิวอยากให้มีล่ามภาษามือจังหวัดละ 1 คน เป็นการนำร่อง อย่างน้อยเวลาคนหูหนวกมีปัญหา หรืออยากใช้บริการล่าม เขาจะได้ติดต่อไปที่ พมจ. จังหวัด ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของภาครัฐได้
อย่างน้อยถ้ามันมีงานหรืออะไรที่การันตีว่าต่างจังหวัดมีงานแน่ ๆ หลิวคิดว่าล่ามที่เขาไม่มีสังกัดหรือเป็นล่ามฟรีแลนซ์ เขาอาจจะลงไปรับงานในส่วนของจังหวัดได้ง่ายขึ้น”
ในขณะที่พี่เจี๊ยบ ในฐานะผู้ที่สวมหมวก 2 ใบ ทั้งหมวกของล่ามภาษามือไทยมืออาชีพ และหมวกของบุคลากรทางการศึกษา ก็มองว่าอาชีพล่ามภาษามือยังต้องการความมั่นคงในการใช้ชีวิตเช่นเดียวกัน
พี่เชื่อว่า คนหนึ่งคนจะประกอบอาชีพอะไร มันต้องมีความมั่นคง ถ้าเรามั่นใจว่าวิชาชีพไหนมีความมั่นคง คนทุกคนจะต้องการทำสิ่งนั้น
“เราจะเห็นได้ว่า ช่วงไหนเปิดสอบบรรจุ คนจะกรูไปสมัครกันเป็นพัน ๆ คนเลย ทั้งที่รับไม่กี่ร้อย นั่นแปลว่าอะไร แปลว่าทุกคนเข้าหาความมั่นคง ถ้าวิชาชีพล่ามภาษามือมั่นคง เชื่อว่าอะไร ๆ มันจะดีขึ้นกว่านี้”
อนาคตของคนหูหนวก หลังศูนย์บริการล่ามภาษามือ TTRS ปิดให้บริการ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 ทางศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารแห่งประเทศไทย (TTRS) ซึ่งเป็นเหมือนหน่วยงานหลักสำหรับให้บริการล่ามภาษามือไทย ได้เผยแพร่ประกาศผ่านทางหน้าเพจของศูนย์บริการ แจ้งเรื่องการปิดให้บริการล่ามภาษามือชั่วคราว เนื่องจากขาดแคลนงบประมาณในการทำงานจากหน่วยงานต้นสังกัดคือ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. มาประมาณ 2 ปีแล้ว
TTRS ได้พยายามให้บริการคนหูหนวกด้วยการแบกรับภาระนี้ไว้ เพื่อให้คนหูหนวกไม่ได้รับผลกระทบ จนถึงตอนนี้ TTRS ไม่สามารถแบกรับภาระหนี้สินค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าเงินเดือนพนักงาน ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าเช่าระบบ ค่าบำรุงรักษาระบบ ค่าอุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จึงจำเป็นที่ต้องปิดบริการทุกระบบตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2568 ไปจนกว่า TTRS จะได้รับงบประมาณจาก กสทช. จึงจะสามารถเปิดบริการได้ตามปกติ
แน่นอนว่า การปิดให้บริการล่ามภาษามือที่กะทันหันนั้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคนหูหนวก ทั้งในแง่ของการใช้ชีวิตประจำวัน และการประกอบอาชีพ มีคนหูหนวกหลายคนต้องหยุดทำงาน เพราะไม่สามารถสื่อสารกับคนหูดีได้ จากแต่ก่อนที่สามารถใช้บริการ TTRS ด้วยการกดโทรศัพท์และเปิดกล้องสื่อสารกัน
นับดาว องค์อภิชาติ ตัวแทนคนหูหนวก และหนึ่งในผู้ใช้งานบริการล่ามภาษามือจาก TTRS ให้ความเห็นว่า ระหว่างรออนุมัติและ TTRS Thailand (ล่ามภาษามือ) ปิดบริการเป็นหลายวันนั้น มีผลกระทบกับชุมชนคนหูหนวกในประเทศไทย พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเพราะ "รัฐบาลไทย" และ "กสทช." ยังไม่เห็นว่าการสื่อสารในชุมชนคนหูหนวกมีความสำคัญหรือไม่ จึงทำให้การอนุมัติงบประมาณเป็นไปอย่างล่าช้า
"ดิฉันไม่เข้าใจว่า รัฐบาลไทย กสทช. ยังไม่เห็นใจ ชุมชนคนหูหนวก และไม่เห็นความสำคัญของการสื่อสาร จึงทำให้อนุมัติช้า ? แล้ว ความเท่าเทียม การสื่อสาร อยู่ที่ไหน ? ลองคิด ถ้าตัดสัญญาณ หรือตัดการติดต่อ จะรู้สึกอย่างไร"
เป็นเวลากว่า 3 เดือนแล้ว ที่ศูนย์บริการ TTRS ต้องปิดให้บริการไป โดยที่ยังไม่รู้อนาคตเลยว่าจะได้กลับมาเปิดอีกครั้งเมื่อไหร่ แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้อย่างแน่นอนก็คือ มีคนหูหนวกอีกมากมายที่ต้องสูญเสียโอกาสในการใช้ชีวิตไป
Thai PBS ขอเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงเพื่อสื่อสารเรื่องราวของล่ามภาษามือและคนหูหนวก ขอให้ความเท่าเทียมทางการสื่อสารจงบังเกิดขึ้นกับคนหูหนวก เพราะไม่ควรมีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และ 'ความเท่าเทียม' ย่อมเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนพึงได้รับ
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง
*สรุปข้อมูลการจดแจ้งเป็นล่ามภาษามือชุมชน กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ข้อมูล ณ วันที่ 10 ก.ย. 67)




















