ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตด้านสุขภาพที่ไม่ได้เกิดจากไวรัส ไม่ใช่จากเชื้อโรค แต่เกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนเอง นั่นคือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs (Non-Communicable Diseases)
ตามรายงานของ WHO ในปี 2564 พบว่า โรคเหล่านี้เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ที่คร่าชีวิตมนุษย์ ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากโรคเหล่าถึงนี้ 41 ล้านคนต่อปี คิดเป็น 75% ของสาเหตุการตายทั้งหมด
สำหรับประเทศไทยก็เช่นกัน ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจากโรคกลุ่มนี้ปีละกว่า 400,000 คน หรือวันละมากกว่า 1,000 คน คิดเป็นร้อยละ 81 ของสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมดในประเทศ
โรค NCDs ไม่ได้ส่งผลแค่ต่อสุขภาพคนทั่วไป แต่ยังส่งไปถึงบริการระบบสุขภาพของไทยด้วย ตั้งแต่ต้นทุนค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น งบประมาณภาครัฐที่ต้องใช้เพิ่มสำหรับการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง
ข้อมูลจากสำนักพัฒนากลุ่มโรคร่วมไทย (สรท.) ปี 2566 ชี้ให้เห็นว่าโรคที่พบบ่อยและสร้างภาระค่าใช้จ่ายสูงสุด 3 อันดับแรกล้วนเป็นโรคในกลุ่ม NCDs ได้แก่
อันดับ 1 โรคความดันโลหิตสูง มีต้นทุนรวม 1,436.7 ล้านบาท
อันดับ 2 โรคเบาหวาน มีต้นทุนรวม 1,344.0 ล้านบาท
อันดับ 3 โรคไตวายเรื้อรังระยะที่ 5 มีต้นทุนรวม 1,089.6 ล้านบาท
NCDs คืออะไร อันตรายแค่ไหน
โรค NCDs คือกลุ่มโรคที่ไม่ติดต่อจากคนสู่คน แต่เกิดจากปัจจัยเสี่ยงสะสม เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ มลภาวะทางอากาศ และการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม จากข้อมูลในปี 2564 พบว่าคนไทยบริโภคน้ำตาล 23 ช้อนชา/วัน ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานของ WHO ที่ไม่เกิน 6 ช้อนชา/วัน ตัวเลขนี้ยังสะท้อนถึงปัญหาการกินของสังคมไทย
ตัวอย่างโรคในกลุ่มนี้ได้แก่
- โรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ
- โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคเบาหวาน
- โรคมะเร็ง
- โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ถุงลมโป่งพอง
- โรคไตเรื้อรัง
- โรคอ้วนลงพุง
- โรคตับแข็ง
- โรคสมองเสื่อม
ในวิกฤตยังมีโอกาส
ถึงแม้ว่าสังคมไทยยังเผชิญปัญหาด้านการรับประทานอาหาร แต่ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพขยายตัว ตามจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้นไปด้วย ตลาดอาหารเพื่อสุขภาพผู้สูงอายุของไทยในปี 2567 มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 34,000 ล้านบาท ขยายตัวราว 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจและหนทางการแก้ไขปัญหาที่ตอบโจทย์คนไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังวิเคราะห์ต่อว่ากลุ่มอาหารที่คาดว่าจะมีความต้องการมากขึ้น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาหารออร์แกนิก อาหารที่ปรับปริมาณสารอาหารให้เหมาะสมกับวัยกับ โรค (ไขมัน น้ำตาล โซเดียมต่ำ) ควรเน้นชูคุณภาพ วัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ปัญหาสุขภาพ ผู้สูงอายุ ภายใต้ราคาที่เข้าถึงง่าย
นวัตกรรมเพื่อสุขภาพอีกหนึ่งทางออกโรค NCDs
หนึ่งในสาเหตุของโรค NCDs ที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุดการกิน แล้วจะกินอย่างไรให้ปลอดภัย ห่างไกลโรค โดยปัจจุบันมีนวัตกรรมต่าง ๆ ที่เข้ามาช่วยต่อสู้กับปัญหาทางสุขภาพ เช่น สารสกัดความหวานแทนน้ำตาลจากหญ้าหวาน นอกจากนี้ยังมีผลงานจากนักวิจัยไทยที่เข้าไปช่วยแก้ปัญหาโรค NCDs เช่นกันอย่าง “บราวนี่กรอบไรซ์เบอร์รี่” และ “กล้วยหอมทองป๊อปกรอบ” กำลังไปจัดแสดงที่งาน World Expo 2025 ที่โอซากา ประเทศญี่ปุ่น
แม้บราวนี่จะเป็นขนมที่มีภาพจำเรื่องน้ำตาลและไขมันสูง แต่สำหรับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัชนก นุกิจ จากคณะโรงเรียนการเรือน มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้เห็นถึงปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริโภคน้ำตาลและไขมันสูง รวมถึงคอเลสเตอรอลที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
จากโจทย์ดังกล่าว ผศ. ดร.ณัชนก จึงได้พัฒนา “บราวนี่กรอบไรซ์เบอร์รี่” ขึ้น โดยมีจุดเด่นคือ ไม่ใช้เนย ซึ่งเป็นแหล่งของคอเลสเตอรอล แต่เลือกใช้ Shortening จากน้ำมันรำข้าว แทน ซึ่งน้ำมันรำข้าวมีสารแกมมาออไรซานอล (Gamma-oryzanol) ที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ ส่วนประกอบหลักยังทำมาจาก แป้งข้าวไรซ์เบอร์รี่ ซึ่งอุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน (anthocyanins) วิตามิน รวมถึงใยอาหารสูงกว่าข้าวสาลีทั่วไป แต่ให้รสชาติและเนื้อสัมผัสเหมือนกัน
แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการแก้ปัญหาข้าวไรซ์เบอร์รี่ล้นตลาดของเกษตรกรอีกด้วย การนำข้าวไรซ์เบอร์รี่มาแปรรูปเป็นแป้งเพื่อทำบราวนี่กรอบ เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิต และยังเป็นการสร้างทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภคที่ต้องการขนมอร่อยและดีต่อสุขภาพ
อีกหนึ่งนวัตกรรมที่น่าสนใจคือ “กล้วยหอมทองป๊อปกรอบ” ผลงานของ รศ. ดร.สุชาดา ไม้สนธิ์ จากสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ได้นำเทคโนโลยี การทอดสุญญากาศ (Vacuum Frying) ที่สามารถทำให้ทอดในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 100 องศาเซลเซียส มาใช้ในการแปรรูปกล้วยหอมทองเหล่านี้ การทอดสุญญากาศเป็นการทอดที่อุณหภูมิต่ำกว่าการทอดทั่วไป ซึ่งข้อดีของการทอดแบบนี้คือ
การรักษาสี กลิ่น และรสชาติตามธรรมชาติ : อุณหภูมิที่ต่ำกว่าช่วยลดการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันและการเสื่อมสลายของสารประกอบที่ให้สีและกลิ่น
การลดการอมน้ำมัน : สภาวะสุญญากาศช่วยลดการดูดซับน้ำมันเข้าสู่อาหาร ทำให้ผลิตภัณฑ์มีปริมาณไขมันต่ำกว่า
การคงคุณค่าทางโภชนาการ : ความร้อนที่ต่ำกว่าช่วยรักษาสารอาหารที่ไวต่อความร้อนได้ดีกว่า
กล้วยหอมทองป๊อปนี้ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาผลผลิตกล้วยล้นตลาด แต่ยังเป็นการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีเอกลักษณ์และตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหาขนมขบเคี้ยวที่ดีต่อสุขภาพ รศ. ดร.สุชาดา ได้ทำงานร่วมกับผู้ประกอบการ SME และวิสาหกิจชุมชน เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถแข่งขันในตลาดได้
จากงานวิจัยบนหิ้ง สู่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้จริงและประสบความสำเร็จ
กว่าจะเป็นหนึ่งงานวิจัยที่สำเร็จจนออกมาเป็นนวัตกรรมได้ นั้นมากกว่าแค่มีชิ้นงานออกมา แต่ยังมีองค์ประกอบอีกหลากหลายอย่าง จนบางครั้งอาจจะทำให้ถูกมองว่าเป็นแค่ “งานวิจัยขึ้นหิ้ง”
ผศ. ดร.ณัชนก เจ้าของนวัตกรรม “บราวนี่กรอบไรซ์เบอร์รี่” มองถึงคำ “งานวิจัยขึ้นหิ้ง” ว่าเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นรากฐานขององค์ความรู้ที่สามารถ ทำให้งานวิจัย หรือนวัตกรรมอื่น ๆ สามารถต่อยอดมาสู่ผลิตภัณฑ์จริงได้ และในปัจจุบันทั้งผู้ประกอบการกับนักวิจัยนั้น ต่างปรับตัวเข้าหากันมากขึ้น ฟากวิชาการมีมุมมองที่มองไปยังเรื่องอุตสาหกรรมและการตลาด จะทำอย่างไรให้ผู้ผลิตนั้นสามารถเกิดประโยชน์มากที่สุดได้
ส่วนการจะทำให้งานวิจัยหนึ่งสำเร็จขึ้นมาได้ อาจารย์ณัชนกให้วิธีคิดว่า โจทย์ต้องชัด และวิธีการต้องสอดคล้องกับโจทย์ เช่น หากต้องการที่จะตีตลาดต่างประเทศ ผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยต้องมีอายุมากกว่า 1 เดือน เพราะกว่าผลิตภัณฑ์จะไปถึงมือผู้บริโภคได้ ขั้นตอนการส่งนั้นย่อมมีระยะเวลา และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือต้องไม่เปลี่ยนวิธีการของผู้ประกอบการมากนัก เพราะการเปลี่ยนสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นหมายถึง "ต้นทุน"
“พยายามทำให้เขาเป็นเขาในรูปแบบที่ดีที่สุด ในเวอร์ชันที่ดีที่สุดที่ช่วยเขาได้ นักวิจัยกับผู้ประกอบการจะต้องทำงานร่วมกัน จนผลิตภัณฑ์ของเรานำสู่ความสำเร็จได้” อาจารย์ณัชนกกล่าวปิดท้าย
ขณะที่ รศ. ดร.สุชาดา กล่าวถึงความสำคัญของการมีนวัตกรรมที่เฉพาะตัว จะทำให้การโดนลอกเลียนแบบ หรือการที่คู่แข่งจะเข้ามาในตลาดนั้นทำได้ยาก อย่างกล้วยหอมทองป๊อปกรอบที่อาจารย์ได้ทำอยู่ การที่จะเลียนแบบได้ คู่แข่งต้องมีเทคโนโลยี และเครื่องจักรที่เฉพาะตัว เพราะกระบวนการทอดให้เหมือนกันนั้นยากพอสมควร
ป้องกัน-ห่างไกล NCDs เริ่มได้ทันที
การป้องกันและทำให้ห่างไกลโรค NCDs ต้องเริ่มจากตัวเรา โดยเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ เน้นการรับประทานผักและผลไม้
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสหวานจัด เค็มจัด อาหารมัน รวมถึงอาหารปิ้งย่าง
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาที/ครั้ง สัปดาห์ละ 5 ครั้ง
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- งดสูบบุหรี่
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ผ่อนคลายความเครียด
- ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ
- รับประทานยาตามแพทย์สั่ง ไม่ซื้อยารับประทานเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
- หากมีอาการผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์
NCDs อาจไม่ใช่โรคที่เกิดในทันที แต่เป็นโรคที่ค่อย ๆ สะสมจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดังนั้นการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิต-การรับประทานจึงจะเป็นอีกหนึ่งทางออกจากโรคนี้อย่างยั่งยืนที่สุด
📌อ่าน : HIDE & SEEK นวัตกรรม “ทรายแมว” รักษ์โลก แมวกลบปลอดภัย ทาสเก็บสบายใจ
🎬 ชมคลิป : "ทาสแมว" ใจบันดาลแรง "นักวิจัย" ก้าวออกนอกห้องแล็บ
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : WHO, kasikornresearch, bumrungrad, ddc.moph, tcmc
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech