ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ชีวิตดี แต่ทำไมยังรู้สึกว่างเปล่า ? สัญญาณของ “Existential Crisis” ที่คนทำงานมองข้าม


Lifestyle

ชนัญชิดา ธนณรงค์

แชร์

ชีวิตดี แต่ทำไมยังรู้สึกว่างเปล่า ? สัญญาณของ “Existential Crisis” ที่คนทำงานมองข้าม

https://www.thaipbs.or.th/now/content/2799

ชีวิตดี แต่ทำไมยังรู้สึกว่างเปล่า ? สัญญาณของ “Existential Crisis”  ที่คนทำงานมองข้าม

 

หนูหริ่ง สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ "บก.ลายจุด" คือหนึ่งในบุคคลต้นแบบด้านการเคลื่อนไหวทางสังคมของไทย ผู้ที่ไม่เพียงตั้งคำถามต่ออำนาจและความไม่เป็นธรรม แต่ยังลงมือทำอย่างต่อเนื่องเพื่อเปลี่ยนแปลงมัน เขาเชื่อมั่นในพลังของสามัญชน และเชื่อว่า "คนธรรมดา" ก็สามารถเปลี่ยนโลกได้ หากกล้าคิด กล้าทำ และไม่ยอมแพ้

หนูหริ่ง - สมบัติ บุญงามอนงค์ และ เอ๋ - สราวุธ

ในวันนี้ ในรายการ Made My Day วันนี้ดีที่สุด” โดยพี่เอ๋ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ เปิดบทสนทนาด้วยคำถามว่า “ความเป็นพลเมืองมันสำคัญยังไงครับ ?”

หนูหริ่งตอบอย่างเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งว่า

มันทำให้เรามีหน้าที่ มันทำให้ชีวิตมีหน้าที่อันหนึ่งในฐานะพลเมือง ที่ต้องช่วยกันประคับประคองให้สังคมมีอารยะมากขึ้น

เมื่อถามต่อว่า “แล้วจุดเริ่มต้นของการทำงานเพื่อสังคม ความเป็นพลเมืองของพี่คืออะไร?”

หนูหริ่งกลับเล่าย้อนถึงช่วงชีวิตที่รู้สึกเคว้งคว้าง พร้อมคำถามพื้นฐานที่วนเวียนอยู่ในหัว

“เราเป็นใคร เราเกิดมาทำไม”

คำถามเหล่านั้นไม่ได้จบลงง่าย ๆ แต่กลับก่อตัวเป็นความว่างเปล่า หุบเหวของความมืดที่ค่อย ๆ กลืนกินจิตใจ เขาบอกว่า

“ผมคิดวน ๆ นอนไม่หลับ คำถามพื้น ๆ เหล่านี้ถูกตั้งซ้ำ ๆ จนพบความว่างเปล่าแบบน่ากลัว”

กระทั่งวันหนึ่ง เขาตัดสินใจเป็นอาสาสมัครของกลุ่ม “มะขามป้อม”
และที่นั่นเอง เขาได้เจอคำตอบ คำตอบที่ไม่ได้มาในรูปของถ้อยคำ แต่ปรากฏผ่านการได้เห็นผู้คน เห็นสังคม เห็นโลกและเหนือสิ่งอื่นใด เขาเริ่มเห็น "ตัวเอง" ในฐานะส่วนหนึ่งของสมการทางสังคมนี้

เราเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งของสังคม เมื่อเราได้เห็นสังคม เราจึงรู้ว่าเราควรอยู่ตรงไหนของสมการนี้

จากการสนทนาในรายการครั้งนี้ เราจึงไม่เพียงได้เห็นนักเคลื่อนไหวผู้เป็นที่รู้จักในนาม “บก.ลายจุด” แต่ยังได้เห็นชายคนหนึ่งผู้เคยหลงทางกลางความว่างเปล่า และพบว่า "หน้าที่พลเมือง" คือแสงสว่างที่ทำให้เขาตื่นขึ้นมาในแต่ละวัน พร้อมความหมายใหม่ของการมีชีวิตอยู่

ในบางวันที่โลกหมุนช้าลง เสียงรอบข้างเบาลง และใจเราเงียบลง เราอาจพบกับคำถามที่ไม่มีคำตอบชัดเจนสักที คำถามที่แว่วขึ้นมาในใจตอนที่รู้สึกเหนื่อย สับสน หรือโดดเดี่ยว

เรามีอยู่ไปทำไม
มนุษย์เกิดมาทำไม
ฉันตัวเล็กเกินไปไหมสำหรับโลกใบนี้

คำถามเหล่านี้ไม่ได้เป็นสัญญาณของความอ่อนแอ แต่เป็นเสียงของจิตใจที่พยายาม “หาความหมาย” บางสิ่งบางอย่างที่มากกว่าเพียงแค่การอยู่รอดในแต่ละวัน

ในทางจิตวิทยา เสียงนี้เรียกว่า Existential Crisis หรือ “วิกฤตแห่งการดำรงอยู่” เป็นช่วงเวลาที่จิตใจของเราหยุดถามว่า “จะทำอะไรดีพรุ่งนี้” แล้วหันมาถามว่า "แล้วทั้งหมดนี้…เพื่ออะไร?"

มันไม่ใช่อาการป่วย แต่เป็น “จุดเปลี่ยน” ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะอายุเท่าไร หรือประสบความสำเร็จแค่ไหน บางคนเจอหลังจากสูญเสียคนรัก บางคนเกิดขึ้นตอนที่งานไปได้ดีแต่หัวใจกลับรู้สึกว่างเปล่า

นักจิตบำบัดอย่าง Irvin D. Yalom บอกว่า มนุษย์ทุกคนล้วนต้องเผชิญหน้ากับความจริง 4 เรื่องใหญ่ในชีวิต ได้แก่

1. ความตาย (Death) มนุษย์ทุกคนรู้ว่าตัวเองจะต้องตาย นี่คือความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อใดที่เราตระหนักถึงมันจริง ๆ จิตใจเราจะเริ่มสั่นไหว บางคนกลัวการสูญเสีย บางคนกลัวความเจ็บปวด บางคนกลัวว่าจะไม่มีใครจำเราได้อีกต่อไป แต่ความตายก็มีพลังแฝง มันทำให้เราเห็นคุณค่าของชีวิต ถ้าไม่มีวันตาย เราคงไม่รู้ว่าทุกวินาทีมีความหมายเพียงใด 

ตัวอย่าง: คนที่เกือบประสบอุบัติเหตุรุนแรง มักกลับมามีมุมมองชีวิตที่ต่างไป อยากใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น หรือลองทำสิ่งที่เคยกลัว

2. เสรีภาพ (Freedom) เราอาจรู้สึกเหมือนโลกมีกรอบ มีเงื่อนไข มีระบบให้เราทำตาม แต่ในระดับลึกที่สุด...มนุษย์มีอิสระในการเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง และนั่นมาพร้อมกับ “ภาระ” อันใหญ่หลวง “ความรับผิดชอบ”

ไม่มีใครชี้ทางให้เราได้ตลอด ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือโชคชะตาที่จะรับผิดชอบแทนเรา อิสรภาพที่แท้จริงคือการรู้ว่า “ชีวิตเราเป็นของเราเองโดยสมบูรณ์” และนั่นทำให้หลายคนรู้สึกกลัว เพราะไม่มีข้อแก้ตัวอีกต่อไป

ตัวอย่าง: คนที่ลาออกจากงานประจำมาทำตามฝัน อาจรู้สึกอิสระมากขึ้น แต่ก็เผชิญกับความไม่แน่นอน และต้องรับผิดชอบผลลัพธ์ทุกอย่างเอง

3. ความโดดเดี่ยว (Isolation) แม้เราจะมีครอบครัว คนรัก หรือเพื่อนสนิท แต่ในระดับจิตวิญญาณ มนุษย์ต่างเกิดมา “คนเดียว” และ “ต้องตัดสินใจชีวิตเอง” ไม่มีใครเข้าใจเราได้ทั้งหมด หรือแบกรับทุกอย่างแทนเราได้ตลอด นี่ไม่ใช่ความเหงาทั่วไป แต่เป็น “ความโดดเดี่ยวในฐานะมนุษย์” ที่แม้เราจะเชื่อมโยงกันได้ แต่ลึกที่สุด เรายังแยกจากกัน การยอมรับความโดดเดี่ยว คือจุดเริ่มต้นของความรักที่แท้จริง เพราะเราจะรักโดยไม่ยึดติด

ตัวอย่าง: เวลาเราตัดสินใจเรื่องใหญ่ เช่น จะมีลูกไหม หรือจะให้อภัยใครบางคนดีไหม ต่อให้มีคนรอบตัวมากแค่ไหน คำตอบสุดท้ายก็ต้องมาจากตัวเรา

4. ความไร้ความหมาย (Meaninglessness) เมื่อมนุษย์เผชิญกับจักรวาลอันกว้างใหญ่และไร้คำตอบแน่ชัด คำถามก็จะผุดขึ้นในใจว่า “แล้วฉันมีอยู่ไปเพื่ออะไร ?” “ทั้งหมดนี้มีความหมายไหม ?” เพราะไม่มีคำตอบสากลให้กับคำถามนี้ มนุษย์จึงเกิดความวิตก แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เปิดโอกาสให้เรากำหนด “ความหมาย” ด้วยตัวเองชีวิตอาจไม่มีความหมายตั้งแต่เกิด แต่มันสามารถมีความหมายจากการที่เราเลือกให้มันมี

ตัวอย่าง: บางคนพบความหมายชีวิตจากการเลี้ยงดูครอบครัว บางคนพบผ่านงานอาสาสมัคร หรือการทำศิลปะเพื่อเยียวยาตัวเองและผู้อื่น

แนวคิดของ Yalom ไม่ได้ชวนให้เราหดหู่ แต่เป็นการบอกว่า “เราทุกคนต่างอยู่ในเงื่อนไขเดียวกัน และนั่นแหละ คือสิ่งที่เชื่อมโยงเราทั้งหมด” เมื่อเราเผชิญกับ 4 แกนนี้ จิตใจเราจะเริ่มสั่นคลอน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ Existential Crisis แต่มันไม่ใช่จุดจบ ตรงกันข้าม  มันคือประตูที่เปิดออกสู่การ “รู้จักตัวเองใหม่” เพราะเมื่อเราถามว่า “ชีวิตนี้มีไว้เพื่ออะไร” นั่นแปลว่า...เราเริ่มอยากใช้มันให้มีความหมายแล้ว ช่วงเวลานี้แหละ คือประตูสู่การเปลี่ยนผ่าน คือช่วงเวลาที่หัวใจเราเริ่ม “ค้นหา” แทนที่จะ “วิ่งหนี”

Viktor Frankl นักจิตวิทยาและนักปรัชญาชาวออสเตรีย ผู้ผ่านประสบการณ์ในค่ายกักกันนาซี เชื่อว่า “ความหมาย” เป็นสิ่งสำคัญกว่าความสุข เขาพบว่า แม้ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุด มนุษย์ยังมีพลังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ หากรู้ว่า “ตัวเองมีความหมาย” ต่อใครสักคน หรือสิ่งใดสักอย่าง นั่นทำให้เรากลับมาที่คำถาม

 ฉันทำอะไรให้โลกได้บ้าง ในเมื่อฉันเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ?

ลองหลับตาแล้วมองดูธรรมชาติ ไม่มีต้นไม้ต้นไหนที่ยิ่งใหญ่เกินไป ไม่มีใบหญ้าใบไหนที่ไร้ค่า ผึ้งตัวเล็ก ๆ ที่บินอยู่รอบดอกไม้ ทำหน้าที่ผสมเกสร ทำให้ดอกไม้ออกผล และผลเหล่านั้นเลี้ยงดูสัตว์อื่นต่อไป ชีวิตแต่ละชีวิตไม่ได้ยิ่งใหญ่เพราะขนาด แต่ยิ่งใหญ่เพราะ "บทบาท" มนุษย์ก็เช่นกัน

เราทำอะไรให้โลกได้บ้าง ? คำตอบอาจไม่ได้อยู่ในแผนธุรกิจระดับโลก หรือการเป็นนักเปลี่ยนแปลงสังคมเสมอไป บางครั้ง...

  • การฟังใครสักคนโดยไม่ตัดสิน
  • การแบ่งเวลาสัก 5 นาทีช่วยเพื่อนที่กำลังเครียด
  • การเขียนข้อความให้กำลังใจคนที่ไม่รู้จัก
  • การยิ้มให้คนแปลกหน้าในวันที่เขาอาจต้องการมันมากที่สุด

ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่ “มนุษย์” เท่านั้นทำได้ เพราะมนุษย์มีความสามารถพิเศษในการ “เชื่อมโยง” และ “เกื้อกูล” กันอย่างลึกซึ้ง ในทางจิตวิทยา มนุษย์คือ “สัตว์สังคม” ที่ต้องการความสัมพันธ์ ไม่ใช่แค่เพื่อความอยู่รอด แต่เพื่อความหมาย ความรู้สึกว่า “ฉันมีคุณค่า” มักเกิดขึ้นจากการที่เรารู้ว่า “ฉันมีประโยชน์กับใครบางคน”

ความว่างเปล่าไม่ได้เกิดจากการไม่มีอะไรทำ แต่มักเกิดจากการที่เรารู้สึกว่า สิ่งที่เราทำ “ไม่มีความหมาย” ดังนั้น แทนที่จะไล่ล่าความสำเร็จหรือความสุข เราอาจลองตั้งคำถามใหม่ว่า "วันนี้ ฉันจะทำอะไรเล็ก ๆ ที่มีความหมายได้บ้าง ?" บางทีคำตอบอาจเรียบง่าย เพราะเมื่อคนหนึ่งลุกขึ้นทำสิ่งดีเล็ก ๆ โลกก็สว่างขึ้นนิดหนึ่ง และเมื่อหลายคนลุกขึ้นพร้อมกัน แสงนั้นก็จะสว่างพอให้คนอื่นเห็นทาง

สุดท้ายแล้ว มนุษย์เราอาจไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ แต่อาจเกิดมาเพื่อเป็น “จุดเชื่อมโยงเล็ก ๆ” ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นรู้สึกว่าโลกนี้น่าอยู่ขึ้น เราอาจเป็นบทสนทนาที่ปลอบใจใครบางคน
เป็นมือที่ช่วยดึงใครบางคนขึ้นจากความมืด หรือเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านให้ใจของใครบางคนได้หายใจอีกครั้ง

มนุษย์เกิดมาเพื่อเชื่อมโยงกัน
และบางที...
แค่การเป็นมนุษย์ที่อ่อนโยนกับตัวเองและผู้อื่น ก็อาจเป็นคำตอบของคำถามที่เราตามหามานาน…

รับชมเรื่องราว ‘หนูหริ่ง สมบัติ บุญงามอนงค์’ ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนได้เห็นคุณค่าของการมีชีวิต หรือได้มุมมองใหม่ ๆ และพร้อมมีวันนี้ดีที่สุดในรายการ “Made My Day วันนี้ดีที่สุด” ทางช่อง Thai PBS หมายเลข 3 หรือ รับชมออนไลน์ผ่านทาง www.thaipbs.or.th/Live ชมย้อนหลังได้ที่ https://www.thaipbs.or.th/program/MadeMyDay/episodes/108619 , รับชมแบบเต็ม Uncut ได้ที่ https://VIPA.me/th/ และรับฟังเต็มได้ที่ https://www.thaipbspodcast.com/podcast/mademyday

แท็กที่เกี่ยวข้อง

มนุษย์ความหมายชีวิตสัตว์สังคมExistential Crisis
ชนัญชิดา ธนณรงค์

ผู้เขียน: ชนัญชิดา ธนณรงค์

Creative GEN Y ฝ่ายรายการสถานการณ์และคุณภาพชีวิต มนุษย์ออฟฟิศ 100 % แต่หมกมุ่นหาเรื่อง พาตัวเองไปเล่นเป็นมนุษย์แบบอื่น ในที่อื่น 200 %

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด