นับว่าเป็นไอเทมชุบชีวิตของคนทุกเพศทุกวัยไปแล้ว สำหรับ "ยาดม" ที่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ยาดมได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ โดยเป็นที่รู้จักและถูกพูดถึงในหมู่คนดังระดับโลก จนอาจกลายเป็น Soft Power ของไทย Thai PBS จะชวนคุณมาเจาะลึกเกร็ดความรู้เกี่ยวกับ "ยาดม" ที่เป็นมากกว่ายาสามัญประจำบ้าน
ก่อนจะเป็น “ยาดม”
ยาดม มีรากฐานมาจาก การบำบัดรักษาด้วยกลิ่น (Aromatherapy) ของพืชสมุนไพร ซึ่งย้อนไปได้ไกลหลายพันปีก่อนคริสตกาล ตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณเลยทีเดียว ตามหลักฐานที่พบในม้วนกระดาษปาปิรุส “ปาปิรุสเอเบอร์ส” (Ebers Papyrus) ซึ่งเป็นตำราทางการแพทย์โบราณ พบว่ามีการบันทึกถึงวิธีการรักษาอาการหายใจติดขัด ด้วยการให้ผู้ป่วยสูดดมไอระเหยจาก พืชเฮนเบนดำ (Black Henbane)
ส่วนในแถบเอเชียพบว่า ประเทศจีนมีประวัติการใช้สมุนไพรและเครื่องหอมมายาวนานนับพันปี ด้วยการสูดดมกลิ่นจาก “ถุงสมุนไพร” เพื่อปรับสมดุลส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย
สำหรับประเทศไทย พบว่ามีการปรุงเครื่องหอมหรือที่เรียกว่า “บุหงารำไป” ในราชสำนักมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย โดยเป็นการนำกลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิด มาผสมกับพิมเสน การบูร หรือน้ำอบ เพื่อให้ได้กลิ่นหอมเย็น
สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของการใช้ “สุคนธบำบัด” หรือศาสตร์แห่งการบำบัดอาการต่าง ๆ ด้วยกลิ่น ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดเครื่องหอมและยาดมตำรับไทยขึ้นมากมาย อย่าง “น้ำอบปรุงจรุงรส” และ “ยาดมส้มมือ” คิดค้นโดย “เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ” ในรัชกาลที่ 5
ส่วนผสม “ยาดม” ในยุคก่อน
ยาดมของไทยในช่วงแรก มักมีส่วนประกอบของผลไม้ตระกูลส้ม โดยเฉพาะเปลือกส้มโอมือ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ส้มมือ” (Buddha's Hand) นำมาผสมกับเครื่องหอมอื่น ๆ อย่าง พิมเสน การบูร เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมสดชื่น
นอกจากนี้ ยังมี “สมุนไพรแห้ง” อีกหลากหลายชนิดต่างกลิ่น ต่างสรรพคุณ ที่นิยมนำมาใช้ทำยาดมสมุนไพร อาทิ “กานพลู” มีกลิ่นหอมเผ็ดร้อน สามารถดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ดี, “ดอกจันทน์” มีกลิ่นหอมฉุน ช่วยปรับสมดุลร่างกายได้, “กระวาน” มีกลิ่นหอมหวานคล้ายใบชา, “โป๊ยกั๊ก” มีกลิ่นหอมหวาน ช่วยขับลมขับเสมหะได้ดี, “อบเชย” มีฤทธิ์ร้อน กลิ่นหอมหวาน ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น, “เปลือกต้นสมุลแว้ง” มีกลิ่นหอมฉุน แก้ลมวิงเวียน ใจสั่น
ด้วยส่วนผสมจากสมุนไพรแห้งหลากชนิด ยาดมจึงมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว พร้อมสรรพคุณดี ๆ ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละชนิดของสมุนไพรนั่นเอง
“ยาดม” ดมอย่างไรให้ปลอดภัย ไร้ผลข้างเคียง
แม้ว่า “ยาดม" จะมีสรรพคุณมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม หรือช่วยให้ผ่อนคลายความเครียดได้อย่างดีเยี่ยม แต่หากใช้ผิดวิธีก็อาจเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้ และนี่คือ 5 วิธีใช้ยาดมให้ถูกต้อง โดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
• สูดดมในปริมาณที่เหมาะสม
เน้นสูดไอระเหยโดยอยู่ห่างจากจมูก 1-2 เซนติเมตร หลีกเลี่ยงการสูดดมถี่หรือใกล้จมูกเกินไป หรือค้างหลอดยาดมไว้ในรูจมูกนานเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุโพรงจมูกได้
• ไม่ควรให้น้ำยาดมสัมผัสกับโพรงจมูก
ส่วนประกอบหลักของน้ำยาดม ประกอบด้วยสารที่มีฤทธิ์ระคายเคืองต่อผิวหนัง เช่น เมนทอล พิมเสน การบูร ซึ่งสามารถก่อให้เกิดความระคายเคืองและอักเสบได้ หากสัมผัสกับผิวหนังโดยตรง
• ห้ามใช้ร่วมกับผู้อื่น
โพรงจมูกของแต่ละคนเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค การใช้ยาดมร่วมกันอาจเป็นการแพร่กระจายของเชื้อโรคทางเดินหายใจได้
• ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ควรใช้อย่างระวัง
สำหรับผู้ที่มีอาการของโรคโพรงจมูก เช่น โพรงจมูกอักเสบ หรือการติดเชื้อในโพรงจมูก ควรระวังเป็นพิเศษ เพราะสวนประกอบในยาดมอาจส่งผลให้เยื่อบุโพรงจมูกที่อ่อนแออยู่แล้ว เกิดอาการระคายเคืองและรุนแรงขึ้นได้
นับว่าเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจ “ยาดม” ภูมิปัญญาไทยกำลังจะกลายเป็นทั้งไอเทมฮิตในระดับโลก อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะใช้ดมเพื่อความสดชื่นหรือคลายเครียด ควรใช้อย่างระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย
โลกของ “ยาดม” ยังมีอีกหลายมุมที่คุณอาจไม่เคยรู้ ชวนติดตามได้จากรายการเหล่านี้
• ยาหอม ยาอม ยาลม ยาดม ยาหม่อง แตกต่างกันอย่างไร l รายการคนสู้โรค
•วิธีทำ “ยาดมสมุนไพรจากเครื่องเทศในครัวเรือน” l รายการวันใหม่วาไรตี้ ช่วง "สีสันวาไรตี้"
• ชวนวัยเก๋าทำ "ยาดมสูตรคุณยาย" กับครูปุ้ม เข็มอักษรณ์ ปักษาศิลป์ l รายการห้องเรียนวัยเก๋า
อ้างอิง: Internet Scientific Publications, PubMed Central (PMC)
คอลัมน์ต่อยอด l เสริมความคิด ต่อยอดความรู้ สื่อสารความเข้าใจ โดย ศูนย์สื่อสารและส่งเสริมการตลาดเพื่อสาธารณะ ไทยพีบีเอส (CCM)