เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2529 ในโอกาสครบรอบ 200 ปี ชาตกาล “พระสุนทรโวหาร (ภู่)” หรือ “สุนทรภู่” ครูกวี 4 แผ่นดินของไทย องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ได้ยกย่องให้ “สุนทรภู่” เป็น “บุคคลสำคัญของโลก” ทางด้านวรรณกรรม ทำให้วันที่ 26 มิถุนายน ของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันสุนทรภู่” เพื่อรำลึกและศึกษาชีวิต รวมถึงผลงานด้านวรรณกรรมอันทรงคุณค่าของท่าน
น่าเสียดายที่คนรุ่นหลังเริ่มจะลืมเลือน “สุนทรภู่” เจ้าของฉายา “กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์” หรือ “เชกสเปียร์แห่งประเทศไทย” กันไปบ้าง ต่อจากบรรทัดนี้ไป Thai PBS ขอพาย้อนกลับไปทำความรู้จักท่านกันอีกสักครั้ง
“สุนทรภู่” คือใคร ?
“พระสุนทรโวหาร (ภู่)” หรือ “สุนทรภู่” เกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2329 ที่เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ท่านเกิดในรัชสมัยของรัชกาลที่ 1 เริ่มเข้ารับราชการในรัชสมัยของรัชกาลที่ 2 รับราชการในรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 และเป็น “พระสุนทรโวหาร” ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 4
ในวัยเด็ก “สุนทรภู่” ได้คุ้นเคยกับชีวิตในรั้วในวัง เพราะแม่ได้ถวายตัวเป็นนางนมของพระองค์เจ้าหญิงจงกล พระธิดาในเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ (ต่อมาคือ “กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข” หรือ กรมพระราชวังหลัง ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 1) ท่านจึงได้เข้าไปอยู่ในพระราชวังหลังกับแม่
ต่อมาท่านได้เข้าเรียนในพระราชวังหลัง และที่วัดชีปะขาว (วัดศรีสุดาราม) ก่อนจะเข้ารับราชการเป็นเสมียนนายระวางในกรมพระคลังสวน ด้วยความที่ท่านชื่นชอบการแต่งกลอน ท่านจึงได้แต่ง “นิราศพระบาท” ระหว่างติดตามพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ ในฐานะมหาดเล็กตามเสด็จไปในงานพิธีมาฆบูชา ที่อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เมื่อปี 2350
ปี 2359 ท่านได้แต่งกลอนบทละคร “รามเกียรติ์” ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถแต่งต่อได้ เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท่านเป็น “ขุนสุนทรโวหาร” ต่อมาในปี 2367 รัชกาลที่ 2 เสด็จสวรรคต ท่านจึงบวชเป็นพระภิกษุที่วัดราชบูรณะ นานกว่า 18 ปี
ระหว่างนั้น ท่านได้เขียนนิราศต่าง ๆ ไว้มากมาย ก่อนที่จะถวายตัวอยู่กับ “สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์” (ต่อมาคือ “พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว”) ท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “พระสุนทรโวหาร (ภู่)” ตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์ฝ่ายบวรราชวัง ในปี 2394 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4
“พระสุนทรโวหาร (ภู่)” หรือ “สุนทรภู่” เสียชีวิตเมื่อปี 2398 ที่พระราชวังเดิม (พระราชวังกรุงธนบุรี) กรุงเทพมหานคร ขณะอายุได้ 69 ปี ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น ตระกูลของ “สุนทรภู่” ได้ใช้นามสกุลว่า “ภู่เรือหงส์”
ตลอดชีวิตของท่าน มีผลงานนิราศ 9 เรื่อง เช่น นิราศภูเขาทอง ผลงานนิทาน 5 เรื่อง เช่น พระอภัยมณี ซึ่งได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสร ให้เป็นสุดยอดวรรณคดีไทย ประเภทกลอนนิทาน ผลงานสุภาษิต 3 เรื่อง เช่น สุภาษิตสอนหญิง ผลงานบทละครและบทเสภา 3 เรื่อง เช่น บทเสภาขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม ผลงานบทเห่กล่อมพระบรรทม 4 เรื่อง เช่น เห่เรื่องโคบุตร
ทวนความจำ “กลอน” คืออะไร ?
ว่าง่าย ๆ ก็คือ “กลอน” เป็นคำประพันธ์ชนิดหนึ่ง ที่มีการกำหนดรูปแบบของจำนวนคำ เสียงวรรณยุกต์ คำสัมผัสที่คล้องจองกัน แบ่งได้เป็นหลายชนิด มีชื่อเรียกและรูปแบบที่แตกต่างกันไป โดย “กลอน” ที่เก่าแก่ที่สุดคือ “เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา” และ “เพลงยาว ณ พระที่นั่งจันทรพิศาล” ซึ่งกวีแต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย
ยุครุ่งเรืองที่สุดของ “กลอน” อยู่ในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ซึ่งทรงเป็นกวีที่สำคัญคู่กับบรมครูกลอนอย่าง “สุนทรภู่” ที่มีลีลาการประพันธ์ที่ผู้คนยอมรับให้เป็นกลอนที่มีความไพเราะที่สุด
“กลอน” แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ
1. กลอนสุภาพ จะมีการใช้ถ้อยคำและทำนองที่เรียบง่าย มี 4 ชนิด คือ
- กลอนหก บทหนึ่งประกอบด้วย 2 บาท บาทละ 2 วรรค วรรคละ 6 คำ โดยสัมผัสนอก จะอยู่ที่คำสุดท้ายของวรรคหน้ากับคำที่สองของวรรคหลังของทุกบาท และให้มีสัมผัสระหว่างบาทคือคำสุดท้ายของวรรคที่สอง สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่สาม ส่วนสัมผัสระหว่างบท กำหนดให้คำสุดท้ายของบทแรก สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่สองของบทถัดไป
- กลอนเจ็ด บทหนึ่งประกอบด้วย 2 บาท บาทละ 2 วรรค วรรคละ 7 คำ โดยสัมผัสนอก จะอยู่ที่คำสุดท้ายของวรรคหน้ากับคำที่สองของวรรคหลังของทุกบาท และให้มีสัมผัสระหว่างบาทคือคำสุดท้ายของวรรคที่สอง สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่สาม ส่วนสัมผัสระหว่างบท กำหนดให้คำสุดท้ายของบทแรก สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่สองของบทถัดไป
- กลอนแปด บทหนึ่งประกอบด้วย 2 บาท บาทละ 2 วรรค วรรคละ 8 คำ โดยคำสุดท้ายของวรรคที่หนึ่ง ให้ใช้เสียง สามัญ เอก โท ตรี จัตวา (ไม่นิยมใช้เสียงสามัญ) คำสุดท้ายของวรรคที่สอง ห้ามใช้เสียง สามัญ หรือ ตรี (นิยมใช้เสียงจัตวา) ส่วนคำสุดท้ายของวรรคที่สามและสี่ ห้ามใช้เสียง เอก โท จัตวา (นิยมใช้เสียงสามัญหรือตรี)
- กลอนเก้า บทหนึ่งประกอบด้วย 2 บาท บาทละ 2 วรรค วรรคละ 9 คำ ซึ่งบางวรรคอาจมี 10 คำ เพราะเป็นคำผสม ส่วนการสัมผัสทั้งในวรรค นอกวรรค และนอกบท จะเป็นลักษณะเดียวกันกับกลอนแปด
2. กลอนลำนำ ใช้สำหรับการขับโต้ตอบกัน การขับลำนำเพื่อความไพเราะ และการขับร้องประกอบการแสดงเพื่อความบันเทิง มี 4 ชนิด คือ
- กลอนดอกสร้อย บทหนึ่งประกอบด้วย 4 บาท มี 2 วรรค ในหนึ่งวรรค จะมี 7-9 พยางค์ ยกเว้นวรรคที่มี 4 พยางค์ ในพยางค์ที่สอง จะมีคำว่า “เอ๋ย” ส่วนวรรคสุดท้ายของบทจะลงท้ายด้วยคำว่า “เอย” เสมอ
- กลอนสักวา บทหนึ่งประกอบด้วย 8 วรรค หรือ 2 คำกลอน วรรคหนึ่งนิยมใช้ 8 คำ โดยมีกฎเฉพาะกลอนสักวาว่าต้องขึ้นต้นด้วยคำว่า “สักวา” และลงท้ายด้วยคำว่า “เอย” เสมอ
- กลอนเสภา เป็นกลอนขับซึ่งนิยมใช้ขับเสภา จึงกำหนดคำไม่แน่นอน อาจใช้ 7-9 คำ ในส่วนของสัมผัสนอกใช้เป็นลักษณะเดียวกันกับกลอนสุภาพ แต่ไม่บังคับหรือห้ามเสียงสูง-ต่ำ ในส่วนของวรรคจะใช้เกณฑ์ตามกลอนเจ็ด กลอนแปด หรือกลอนเก้า
- กลอนบทละคร เป็นคำประพันธ์ที่ใช้ในการเล่นละคร โดยมีทำนองขับร้องและเครื่องดนตรีประกอบ ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนเพื่อควาสมบูรณ์ก่อนแสดง จึงอาจใช้จำนวนคำในแต่ละวรรคไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับจังหวะในการขับร้อง โดยหลักอาจใช้ 6-9 คำ ก็ได้ ส่วนในวรรคแรกที่ขึ้นต้น นิยมใช้ 2 คำ หรือ 4-5 คำ เช่น เมื่อนั้น, บัดนี้, น้องเอ๋ยน้องรัก และไม่บังคับการส่งสัมผัสไปยังวรรคที่สอง เพราะอาจมีการเปลี่ยนทำนองตามบทบาทตัวละคร
3. กลอนตลาด นิยมใช้ในการร้องแก้กัน เป็นกลอนผสมหรือกลอนคละ โดยไม่กำหนดคำตายตัวเหมือนกลอนสุภาพ วรรคหนึ่งอาจมี 7-9 คำ มี 4 ชนิด คือ
- กลอนเพลงยาว บทขึ้นต้นต้องมีเพียง 3 วรรค โดยขึ้นต้นที่วรรครับในบทแรก ส่วนบทต่อ ๆ ไป มี 4 วรรค ส่วนการส่งสัมผัสยึดรูปแบบตามกลอนสุภาพ มีความยาวได้ไม่จำกัด แต่ต้องลงท้ายด้วยคำว่า “เอย”
- กลอนนิราศ ใช้สำหรับบันทึกการเดินทางจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่ง คำขึ้นต้นมักใช้คำว่า “นิราศ” และลงท้ายด้วย “เอย” มีลักษณะเหมือนกับกลอนเพลงยาว คือบทขึ้นต้นต้องมีเพียง 3 วรรค โดยขึ้นต้นที่วรรครับในบทแรก ส่วนบทต่อ ๆ ไป มี 4 วรรค ตัวอย่างเช่น นิราศภูเขาทอง นิราศเมืองแกลง
- กลอนนิยาย เป็นวรรณกรรมที่มุ่งให้ความบันเทิงหรือแทรกคติสอนใจ เนื้อเรื่องเป็นเรื่องแต่ง ซึ่งอาจนำมาจากชาดก นิทานพื้นบ้าน หรือจินตนาการขึ้นก็ได้ นิยมแต่งเป็นเรื่องยาว ตัวอย่างเช่น พระอภัยมณี จันทโครบ
- กลอนเพลงปฏิพากย์ เป็นกลอนสั้นที่นิยมใช้ว่าแก้โต้ตอบกัน อาจเป็นทำนองฝีปากโต้คารม เกี้ยวกัน หรือเสี่ยงสัตย์อธิฐานก็ได้ กลอนลักษณะนี้เป็นที่นิยมและแพร่หลายในหมู่คนไทยโดยทั่วไปมาช้านาน จนอาจกล่าวได้ว่ากลอนเป็นสมบัติของชาติไทย และชาติไทยก็เป็นชาตินักกลอนโดยสายเลือดเลยทีเดียว ตัวอย่างเช่น เพลงฉ่อย เพลงเรือ เพลงแห่นาค
สักวาวัยทำงาน ฉบับลูกหลาน “สุนทรภู่”
ไหน ๆ ชาติไทยเราก็เป็นชาตินักกลอน งั้นเรามาลองเล่าเรื่องราวชีวิตการทำงานในแต่ละวันผ่านการว่าสักวากันสักหน่อย แถมยังส่งให้เพื่อนไว้ทักทายได้ทุกที่ #สวัสดีทุกสีวัน แชร์ฟรี คลิกเลย! 🙏 www.thaipbs.or.th/Sawasdee

สักวาอาทิตย์ใจคิดหนัก สุดจะหักห้ามจิตติดสงสัย
ว่าวันรุ่งพรุ่งนี้จะอย่างไร ป่วยโรคไหนแจ้งไปในวันลา
เป็นหวัดคัดจมูกน้ำมูกไหล หรือเป็นไข้ใจสั่นขวัญผวา
นั่งนอนคิดเท่าไรไม่เข้าท่า ไม่ต้องลาแล้วมาทำงานเอย

สักวาวันจันทร์ฉันฝืนตื่น กว่าจะฟื้นจะลุกปลุกหลับใหล
แค่ห้องน้ำน้อยก้าวก็ว่าไกล คิดในใจนอนต่อก็ยังทัน
กว่าจะตื่นจริงจริงก็ใกล้สาย ฝันสลายลืมตื่นฝันซ้อนฝัน
นึกว่าถึงออฟฟิศอย่างเร็วพลัน ชะงักงัน...อ่าวสายเหมือนเคยเอย

สักวาอังคารนอนนานหน่อย รู้สึกกร่อยปล่อยจิตคิดสงสัย
ทำไมเราทำงานทุกวันไป งานทำไมไม่ทำด้วยตัวเอง
หายใจเข้าเอาวะลุกขึ้นสู้ เราต้องอยู่ต้องไฝว้ใจเขม็ง
งานจะกี่มากน้อยไม่กลัวเกรง เร็วรี่เร่งรีบไปทำงานเอย

สักวาวันพุธสุดขยัน เกิดแต่ฉันวันวันพันกว่าเรื่อง
คัดมาแต่ความทุกข์แสนขุ่นเคือง ให้สิ้นเปลืองน้ำตาไหลท่วมใจ
กลางสัปดาห์แต่งานยังไม่ลด วันลาหมดแรงหดไม่สดใส
อยากกดข้ามวันนี้กว่าใครใคร แต่ใดใดงานท่วมต้องทำเอย

สักวาว่าวันพฤหัส ตื่นเต้นจัดรู้ชัดประชุมฉ่ำ
จะเช้าสายกลางวันหรือเย็นย่ำ จะหัวค่ำคุยแน่นเต็มเต็มวัน
โปรเจกต์นั้นหรือว่าโปรเจกต์นี้ ก็เป็นที่รู้กันว่าเป็นฉัน
ทำทุกอย่างทุกเรื่องนี่ตัวรัน ไม่แบ่งปันให้ใครมาเอี่ยวเอย

สักวาวันศุกร์สุขสุดแสน วันเดอร์แลนด์ดินแดนความสดใส
ทุกข์ใดเล่าเข้ามาก็หายไป เพราะอย่างไรวันพรุ่งมุ่งแต่นอน
อยู่ชิลชิลแต่เช้าจนเตรียมกลับ ต้องหันควับเสียงเขียวว่าเดี๋ยวก่อน
จะไปไหนท่าทางดูเร่งร้อน หัวหน้าอ้อนป้อนงานอดกลับเอย

สักวาวันเสาร์ว่าวันหยุด เซ็งสุดสุดงานหลุดให้หม่นหมอง
ต้องทำต่อวันนี้งานกองดอง VIPA ครองคิวจองอยู่ในใจ
รีบปั่นงานจะได้ดูซีรีส์ พีคตรงที่แก้หมดเหมือนรื้อใหม่
เอาดีดีส่งไฟล์สุดท้ายไป เขาบอกใช้ดราฟแรกโอเคเอย
“กลอน” อาจจะดูเป็นแค่ตัวหนังสือที่ร้อยเรียงเป็นทำนองในบทเรียน บางคนอาจจะรู้สึกว่ามันเข้าใจและเข้าถึงยาก แต่หากมองกันอย่างสังเกตจริง ๆ จะพบว่า “กลอน” อยู่ในวิถีชีวิตของคนไทยมาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเพลงเกี่ยวข้าว กาพย์เห่เรือ หรือเพลงแห่นาค ต่างก็ใช้พื้นฐานของการแต่งกลอนทั้งสิ้น สิ่งนี้สะท้อนถึงทัศนคติที่ดี วัฒนธรรมที่ลึกซึ้งที่ไทยมีและคงอยู่มายาวนาน
เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง
- เพราะทุกเรื่องราวมีความหมาย เราจึงรวบรวมทุกวันสำคัญ วันนี้ในอดีต เทศกาลและเหตุการณ์ที่น่าจดจำทั่วทุกมุมโลกมาให้คุณได้รู้ ผ่านการเล่าอดีต บันทึกปัจจุบัน รอบรู้ทุกวัน กับ Thai PBS On This Day | www.thaipbs.or.th/OnThisDay