เพียงไม่ถึง 10 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยี “อินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม” ที่ดูจะไม่สามารถเป็นไปได้จริง ตอนนี้กลายเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานทางอินเทอร์เน็ตหลักในหลาย ๆ พื้นที่ และมันกำลังสร้างผลกระทบต่อโครงสร้างของอุตสาหกรรมการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วทั้งโลก ในบทความนี้จะพาไปสำรวจตลาดของอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมที่กำลังมาแรงในกลุ่มการสื่อสาร
ในอดีต การสื่อสารโดยใช้อินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมมีราคาแพง ช้า และไม่เสถียรเท่าที่ควร เนื่องจากดาวเทียมสำหรับการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นกลุ่มดาวเทียมค้างฟ้าที่อยู่ในวงโคจรระดับสูงทำให้สัญญาณเดินทางจากพื้นโลกไปถึงดาวเทียมและกลับลงมาใช้เวลาหลายมิลลิวินาที ส่งผลให้เกิดความหน่วงสูง เทคโนโลยีนี้มีการใช้ยาวนานมากกว่าหลายสิบปี มีผู้เล่นหลักคือบริษัท Iridium แต่ด้วยข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพเทียบกับราคาแล้วไม่คุ้มค่า จึงไม่ค่อยมีผู้ใช้งานเท่าไรนัก ส่วนมากจะเป็นผู้ใช้เฉพาะกลุ่ม เช่น อินเทอร์เน็ตบนเที่ยวบิน หรือสถานที่ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตอย่างขั้วโลกใต้
อาจจะเพราะอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมวงโคจรระดับสูงนั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูง มีผู้ใช้งานน้อย และเทียบไม่ได้กับอินเทอร์เน็ตผ่านสายไฟเบอร์ออปติก ทำให้ไม่มีผู้เข้ามาลงทุนทำธุรกิจด้านนี้นอกจาก Iridium จนกระทั่ง อีลอน มัสก์ประกาศทำดาวเทียม Starlink ที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมวงโคจรต่ำ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นผู้เล่นใหญ่ในกลุ่มธุรกิจอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม
ปัจจุบัน Starlink เป็นผู้นำในตลาดอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในวงโคจรต่ำ ขณะนี้บริษัท SpaceX ได้ปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรไปแล้วมากกว่า 8,000 ดวง และยังคงมีแผนขยายเครือข่ายให้มีจำนวนรวมสูงถึง 12,000 ดวง และอาจแตะ 42,000 ดวงในอนาคต ด้วยจำนวนดาวเทียมที่มากเช่นนี้ทำให้ Starlink กลายเป็นระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และกลายเป็นคู่แข่งที่ยากต่อการต้านทานในทุกมิติ เพราะ SpaceX เองยังเป็นบริษัทเดียวในตลาดที่สามารถควบคุมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำได้ทั้งหมด ตั้งแต่การผลิตดาวเทียม การพัฒนาและใช้งานจรวด Falcon 9 ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ไปจนถึงการให้บริการถึงบ้านผู้บริโภค
อีกทั้งด้วยเทคโนโลยีดาวเทียมขนาดเล็ก ทำให้ในภารกิจปล่อยดาวเทียม Starlink แต่ละครั้งสามารถบรรทุกดาวเทียมขึ้นไปได้หลายสิบดวงในคราวเดียว ไม่เหมือนกับดาวเทียมกลุ่มค้างฟ้าที่มีน้ำหนักหลายสิบตันที่การส่งขึ้นไปเป็นเรื่องที่ยากและมีค่าใช้จ่ายสูง ดาวเทียม Starlink ที่มีขนาดเล็กจึงได้เปรียบมากกว่า อีกทั้งยังสามารถสร้างรายได้จากการบรรทุกดาวเทียมของลูกค้าภายนอกในเที่ยวบินเดียวกันอีก ทำให้หลาย ๆ เที่ยวบินของการปล่อย Starlink สามารถสร้างรายได้แม้ดาวเทียมดวงนั้นจะยังไม่เริ่มต้นทำงานก็ตาม
ย้อนกลับมาเปรียบเทียบผู้เล่นรายอื่น อย่าง OneWeb บริษัทการสื่อสารผ่านดาวเทียมวงโคจรต่ำเช่นเดียวกับ Starlink ก่อนหน้านี้ก็เผชิญกับปัญหาที่ใหญ่มากจนทำให้การปล่อยจรวดล่าช้าออกไป คือ วิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทางรัสเซียไม่ยอมปล่อยจรวดขึ้นไปให้ตามที่ได้ตกลงกันไว้ และจากการถูกบีบโดยรัฐบาลและกลุ่มทุนทำให้ทาง OneWeb ต้องหันมาใช้บริการของ SpaceX แทนเพื่อให้การดำเนินงานสามารถไปต่อได้ ซึ่งเท่ากับเป็นการให้เม็ดเงินลงทุนต่อกับคู่แข่งไปโดยปริยาย
หรืออีกหนึ่งผู้เล่นที่ถูกจับตามองคือ Kuiper เครือข่ายดาวเทียมอินเทอร์เน็ตวงโคจรต่ำจากบริษัท Amazon ซึ่งแม้จะยังไม่สามารถให้บริการจริงในเชิงพาณิชย์ แต่มีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ระยะยาวเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตที่จะสามารถเชื่อมโยงกับธุรกิจหลักของตนเองอย่าง AWS (Amazon Web Services) ได้ ซึ่งหาก Amazon สามารถร่วมระบบเครือข่าย Kuiper เข้ากับระบบคลาวด์และการประมวลผลที่อุปกรณ์ใกล้ตัวผู้ใช้ (Edge Computing) ของบริการคลาวด์ของ Amazon (Amazon Web Service หรือ AWS) ได้สำเร็จ Amazon อาจกลายเป็นผู้เล่นที่มีความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ในการให้บริการแบบครบวงจร ที่อาจจะไม่มีใครสามารถต่อต้านได้
แต่ Amazon ก็ยังไม่สามารถควบคุมระบบการผลิตและขนส่งตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำได้เหมือน SpaceX เนื่องจากจรวด New Glenn ของ Blue Origin บริษัทในเครือของ Amazon เองยังไม่สามารถขึ้นบินได้ตามแผนที่วางไว้ และด้วยข้อผูกมัดที่ Amazon ได้ตกลงกับคณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารของสหรัฐฯ (FCC) ที่ได้ตกลงว่าต้องปล่อยดาวเทียมให้ได้ 1,618 ดวงภายในเดือนกรกฎาคม 2026 และเพิ่มจำนวนเป็น 3,236 ดวงภายในปี 2029 หากไม่สามารถทำได้ตามกำหนด อาจสูญเสียสิทธิ์การใช้งานคลื่นความถี่ ทำให้ Amazon ต้องเร่งให้ดาวเทียม Kuiper สามารถปล่อยออกสู่วงโคจรให้เร็วที่สุดที่จะทำได้ ตอนนี้ทาง Amazon ต้องพึ่งพาบริษัทปล่อยจรวดภายนอกอย่าง ULA (ใช้จรวด Vulcan Centaur และ Atlas V) Arianespace (ใช้ Ariane 6) และ Falcon 9 ของ SpaceX
ในขณะที่ผู้เล่นรายอื่นกำลังพัฒนาและพยายามตามให้ทัน SpaceX อาจจะด้วยแต้มต่อที่ SpaceX เริ่มต้นก่อนและมีจรวดเป็นของตัวเอง ทำให้ Starlink แก้ปัญหาและสามารถให้บริการเชิงพาณิชย์ได้ก่อน รอรับข้อคิดเห็นจากลูกค้า และแก้ไขให้การบริการรุ่นถัดไปดีขึ้นจนตอนนี้กลายเป็นหนึ่งในระบบอินเทอร์เน็ตผ่านอินเทอร์เน็ตที่ดีที่สุดในโลก และมีการใช้งานจริงในหลายพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นในสมรภูมิยูเครน หรือการให้บริการอินเทอร์เน็ตบนเครื่องบิน
แม้สุดท้ายแล้วเราจะเห็นว่าเทคโนโลยีการให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมจะสามารถใช้งานได้จริงในโลกปัจจุบันแล้ว แต่มันมีข้อจำกัดอยู่มากเมื่อเทียบกับการให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่ายไฟเบอร์ออปติก เช่น ความเสถียรของสัญญาณที่ยังอ่อนไหวต่อสภาพอากาศ และต้นทุนค่าบริการที่สูงกว่าการใช้งานไฟเบอร์ออปติกในเมืองใหญ่ แต่ศักยภาพของอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในพื้นที่ห่างไกล หรือในภาวะฉุกเฉินที่ไม่มีโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เขตภัยพิบัติหรือพื้นที่สงคราม ยังคงเป็นโอกาสที่จะทำให้กลุ่มธุรกิจนี้เติบโต โดยเฉพาะเมื่อการลดต้นทุนของอุปกรณ์รับสัญญาณและการขยายบริการสามารถทำได้อย่างต่อเนื่องเหมือนกับที่ Starlink ในตอนนี้กำลังดำเนินอยู่
กล่าวโดยสรุป หากมองในระยะสั้น Starlink ของ SpaceX ยังเป็นผู้เล่นเพียงรายเดียวที่มีศักยภาพในการให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในระดับที่สามารถใช้งานได้จริง แต่หากมองในระยะยาว Amazon Kuiper อาจกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตของโลกจากการที่ตัวของ Amazon Web Sever อาจถูกเข้ามารวมในแพ็กเกจกับ Kuiper ซึ่งอาจทำให้เกิดรูปแบบการแข่งขันใหม่ที่ไม่ได้วัดกันที่ดาวเทียมเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการวัดกันที่ใครจะเป็นผู้สามารถควบคุมแพลตฟอร์มข้อมูลของโลกได้มากที่สุด ซึ่งเป็นคำถามที่อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการหาคำตอบ
เรียบเรียงโดย จิรสิน อัศวกุล
พิสูจน์อักษร ศุภกิจ พัฒนพิฑูรย์
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech