ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

หลักการจัดการ “เชลยศึก” ตามหลักสากล ทำอย่างไร


Insight

อธิเจต มงคลโสฬศ

แชร์

หลักการจัดการ “เชลยศึก” ตามหลักสากล ทำอย่างไร

https://www.thaipbs.or.th/now/content/2992

หลักการจัดการ “เชลยศึก” ตามหลักสากล ทำอย่างไร


ท่ามกลางความขัดแย้งไทย – กัมพูชา เกิดเหตุปะทะนำมาซึ่งการจับกุมทหารของอีกฝั่ง กลายเป็น “เชลยศึก”

Thai PBS ชวนรู้จักและเข้าใจคำว่า “เชลยศึก” ให้มากขึ้น หลักสากลจัดการสถานะของคนที่ตกเป็นเชลยศึกอย่างไร ? ท่ามกลางศึกความขัดแย้งมีแนวทางจัดการอย่างมีมนุษยธรรมอย่างไร ?

เชลยศึกคืออะไร ? 

“เชลยศึก” หรือบางแห่งใช้คำว่า เชลยสงคราม (Prisoners of War – PoW) คือสถานะของคนที่เป็นทหารหรือสมาชิกของกองทัพฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่เข้าสู้รบ และถูกควบคุมตัวโดยฝ่ายตรงข้ามที่เป็นคู่ขัดแย้ง

สถานะเชลยศึกจะเกิดขึ้นได้กับทั้งบุคคลที่ไม่ได้มีส่วนร่วมกับการสู้รบ รวมถึงกับทหารหรือสมาชิกของกองทัพที่บาดเจ็บ หรือสละอาวุธแล้ว ซึ่งมีการกำหนดให้บุคคลเหล่านี้ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรม

ในอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยการปฏิบัติต่อเชลยศึกมีรายละเอียดที่กำหนดเป็นหลักเกณฑ์อื่น ๆ ของการเป็นเชลยศึก ตัวอย่างเช่น การปฏิบัติการของบุคคลนั้น ๆ ต้องได้รับคำสั่งจากบุคคลที่เป็นผู้บังคับบัญชา มีเครื่องหมายเฉพาะที่ชัดเจนสามารถรับรู้ได้จากระยะไกล พกอาวุธอย่างเปิดเผย นอกจากนี้ยังต้องเคารพต่อกฎและประเพณีของสงคราม (เช่น ปกป้องผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบ ไม่ใช้อาวุธบางชนิดเพราะมีผลทำลายล้างมากเกินจำเป็น)

ทั้งนี้ สถานะดังกล่าวยังรวมถึงบุคคลที่เดินทางติดตามไปกับกองทัพ เช่น นักข่าวสงคราม แรงงานสวัสดิการของกองทัพ หรือกรณีผู้อยู่อาศัยที่หยิบอาวุธขึ้นสู้รบ หากพกอาวุธอย่างเปิดเผย และเคารพต่อกฎและประเพณีของสงคราม ก็ถือว่าเข้าข้อกำหนดของสถานะนี้ได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม สถานะเชลยศึกถือเป็นสถานะคุ้มครองอย่างหนึ่งโดยมีการกำหนดการคุ้มครอง ขณะเดียวกันก็มีการกำหนดถึงมาตรการในการกักขังไว้ด้วย โดยสถานะนี้จะมีขึ้นต่อเมื่อบุคคลตกอยู่ในอำนาจของฝั่งตรงข้าม และจบลงเมื่อได้รับการปล่อยตัวรวมถึงส่งกลับประเทศ

เชลยศึกได้รับการคุ้มครองอะไรบ้าง ?

แม้ความขัดแย้งจะมีความรุนแรงเกิดขึ้น แต่ยังคงต้องรักษาสิ่งที่เรียกว่ามนุษยธรรมไปพร้อมกัน เพื่อเป็นเส้นแบ่งหนึ่งที่ยังคงให้เกียรติกับชีวิตในฐานะเพื่อนมนุษย์ของกันและกัน เชลยศึกจึงได้รับการคุ้มครองโดยมีข้อกำหนดหลายข้อด้วยกัน โดยสรุปได้ดังนี้

เชลยศึกต้องได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรมตลอดเวลา ต้องไม่ถูกทารุณกรรม ไม่ถูกทำร้ายร่างกาย ไม่ถูกนำไปทดลองทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ใด ๆ ได้รับการคุ้มครองจากการกระทำรุนแรงรวมถึงการข่มขู่คุกคามต่าง ๆ ทั้งทางคำพูดและทางร่างกาย

เชลยศึกจะได้รับการจัดหาสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐาน เช่น ให้เชลยศึกสามารถเข้าถึงอาหาร น้ำดื่ม เครื่องแต่งกาย เครื่องนุ่งห่ม จนไปถึงการดูแลด้านสุขอนามัยรวมถึงการรักษาพยาบาลโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

เชลยศึกมีสิทธิได้รับการเคารพและเกียรติของตนในทุกสถานการณ์ สตรีควรได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพเหมาะสมกับเพศ ได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติที่เอื้อเฟื้อเช่นเดียวกับบุรุษ

เชลยศึกทุกคนต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม โดยไม่คำนึงถึงยศถาบรรดาศักดิ์และเพศ รวมถึงสถานะของสุขภาพ อายุ รวมถึงคุณวุฒิวิชาชีพ และไม่มีการแบ่งแยกที่ไม่พึงประสงค์ตามเชื้อชาติ สัญชาติ รวมถึงความเชื่อทางศาสนาหรือความคิดเห็นทางการเมือง ทุกคนต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันเสมอ

เชลยศึกถูกกักขังในสถานที่ปลอดภัยเท่านั้น โดยห้ามกักขังให้ที่แคบ และมีกำหนดให้เป็นสถานที่ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดิน และต้องมีการรับประกันด้านความปลอดภัย 

การคุ้มครองเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเบื้องต้น ยังมีรายละเอียดอีกมากที่กำหนดเป็นมาตราไว้ เช่น ลักษณะของที่พัก หอพักต้องแยกชายหญิง มีเสื้อผ้าให้ จัดให้มีกิจกรรมทางศาสนาตามความเชื่อ จัดให้นักบวชมาประกอบกิจกรรมทางศาสนาตามสิทธิให้ รวมถึงให้มีกิจกรรมเคลื่อนไหวเพื่อสุขภาพตามความเหมาะสม มีกำหนดให้สามารถใช้แรงงานได้เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้ การคุ้มครองเหล่านี้ต่างมีขึ้นเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ท่ามกลางสถานการณ์ขัดแย้งที่เกิดขึ้น

เชลยศึกถูกลงโทษได้หรือไม่ ?

เชลยศึกได้รับการคุ้มครองไว้หลายอย่าง ในส่วนของการรับโทษยังมีการกำหนดให้ไม่สามารถถูกดำเนินคดีจากการมีส่วนร่วมในการสู้รบอีกด้วย ทำให้การถูกจับลักษณะนี้จะไม่เท่ากับการเป็นนักโทษ ทว่าแล้วเชลยศึกสามารถถูกลงโทษได้หรือไม่ ? 

คำตอบคือได้ เพราะผู้ถูกจับกุมเหล่านี้ยังต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ระเบียบ รวมถึงข้อบังคับต่าง ๆ ของประเทศที่กักขัง

ทั้งนี้ การพิจารณาโทษนั้นมีรายละเอียดของการพิจารณาที่ต้องขึ้นศาลทหารเท่านั้น การตัดสินต้องยึดหลักการของการที่เชลยศึกไม่ได้มีพันธะต่อรัฐที่ตัดสิน และการลงโทษยังห้ามละเมิดต่อการคุ้มครองอื่น ห้ามแยกขังให้ที่แคบหรือไม่มีแสงสว่าง ดังนั้น บทลงโทษจึงมักเป็นโทษทางวินัยมีด้วยกันดังต่อไปนี้

- ค่าปรับไม่เกินร้อยละ 50 ของเงินล่วงหน้าและเงินค่าทำงานที่จะได้รับ
- ยุติสิทธิพิเศษที่ได้รับเกินกว่าที่มีการกำหนดไว้ในอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยการปฏิบัติต่อเชลยศึก (สิ่งที่กำหนดไว้ห้ามลดลง)
- เวรยามไม่เกินวันละ 2 ชม.
- การกักขัง

สถานะเชลยศึกถือเป็นกลไกหนึ่งท่ามกลางความขัดแย้งเพื่อรักษามนุษยธรรมระหว่างกัน เพราะความขัดแย้งอาจเป็นสภาวะชั่วคราวที่เกิดขึ้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้

อ้างอิง

  • คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (International Committee of the Red Cross: ICRC)
  • อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยการปฏิบัติต่อเชลยศึก
     

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เชลยศึกความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาไทย-กัมพูชาอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยการปฏิบัติต่อเชลยศึก
อธิเจต มงคลโสฬศ

ผู้เขียน: อธิเจต มงคลโสฬศ

เจ้าหน้าที่เนื้อหาดิจิทัล ไทยพีบีเอส สนใจเนื้อหาด้านสุขภาพจิต สาธารณสุข และความยั่งยืน รวมถึงประเด็นทันกระแสที่มีแง่มุมน่าสนใจซ่อนอยู่

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด