ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

‘ลอเรล ฮับบาร์ด’ นักกีฬาข้ามเพศคนแรกที่จะได้เข้าร่วมโตเกียวโอลิมปิก 2020

ออกอากาศ22 มิ.ย. 64

เว็บไซต์ The Guardian รายงานเมื่อ (21 มิ.ย.) ถึงประเด็นถกเถียงในวงการกีฬา หลังจาก ‘ลอเรล ฮับบาร์ด’ (Laurel Hubbard) นักยกน้ำหนักจากนิวซีแลนด์ซึ่งเป็นบุคคลข้ามเพศ ได้รับการยืนยันให้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 32 หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ โตเกียว 2020

จอมพลังวัย 43 ปีท่านนี้ เป็นนักยกน้ำหนักที่อายุมากเป็นอันดับ 4 ในโอลิมปิก เป็นผู้ท้าชิงเหรียญกีฬาประเภทยกน้ำหนักหญิง รุ่นซูเปอร์เฮฟวีเวท น้ำหนักตัว 87 กิโลกรัมขึ้นไป แม้การให้ลอเรลเข้าร่วมการแข่งขันประเภทนี้จะได้รับการยอมรับกลุ่มคนข้ามเพศ แต่ก็ยังมีอีกเสียงวิจารณ์โดยกลุ่มคนที่เห็นว่าฮับบาร์ดมีข้อได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรมกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ในด้านพลังและความแข็งแกร่ง เพราะผ่านเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ของเพศชายมาแล้ว ก่อนที่จะผ่านการแปลงเพศในปี 55

โดยฮับบาร์ด ซึ่งเคยได้เหรียญเงินในการแข่งขันชิงแชมป์โลกหญิงปี 2017 กล่าวหลังมีการประกาศการคัดเลือกว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก หลังจากฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บที่แขนอย่างสาหัสในการแข่งขันกีฬาเครือจักรภพเมื่อปี 61 (Commonwealth Games)

"ฉันรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งในความเมตตาและการสนับสนุนที่ชาวนิวซีแลนด์ทั้งหลายมอบให้" เธอกล่าว "ฉันแขนหักตอนการแข่งขันกีฬาเครือจักรภพเมื่อสามปีก่อน มีคนบอกว่าอาชีพนักกีฬาของฉันน่าจะจบสิ้นแล้ว แต่การสนับสนุน กำลังใจ และความรักจากคุณทำให้ฉันข้ามผ่านความมืดมิดนี้ไปได้"

อย่างไรก็ตาม การเลือกฮับบาร์ดเข้าแข่งขันโอลิมปิกทำเกิดความคิดเห็นแยกเป็น 2 ฝ่าย บางคนชี้ว่าผลลัพธ์ของเรื่องนี้หมายถึงนักยกน้ำหนักหญิงชาวตองงาวัย 21 ปี Kuinini Manumua จะต้องพลาดโอลิมปิกครั้งนี้ไป ขณะที่ฮับบาร์ดซึ่งมีเพศดั้งเดิมเป็นชายมา 35 ปี ก่อนการแปลงเพศไม่เคยได้เข้าแข่งขันยกน้ำหนักระดับนานาชาติเลย อย่างไรตาม หลังจากนั้นมา เธอก็ได้รับรางวัลในรายการระดับต้น ๆ หลายรายการ

การรับรองให้ฮับบาร์ดเข้าแข่งขันโอลิมปิกโตเกียว ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับบุคคลข้ามเพศของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ในปี 58 ซึ่งอนุญาตให้นักกีฬาที่เปลี่ยนจากเพศชายเป็นเพศหญิงสามารถแข่งขันในประเภทผู้หญิงโดยไม่ต้องผ่าตัดเพื่อเอาลูกอัณฑะออก หากระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (ฮอร์โมนเพศชาย) ในร่างกายต่ำกว่า 10 นาโนโมลต่อลิตรเป็นเวลาอย่างน้อย 12 เดือน

การตัดสินใจนี้ของ IOC เพิ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์หลังมีการตีพิมพ์เอกสารทางวิทยาศาสตร์ ที่ระบุว่าแม้จะทานยาเพื่อกดระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนแล้วก็ตาม ผู้ที่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ของผู้ชายก็ยังคงมีข้อได้เปรียบในด้านพลังและความแข็งแกร่งอยู่ดี

โดยปีที่ผ่านมา มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของเอมมา ฮิลตัน (Emma Hilton) และ ทอมมี่ ลุนด์เบิร์ก (Tommy Lundberg) พบว่า ผู้ชายได้เปรียบในการยกน้ำหนักถึง 30% เมื่อเทียบกับผู้หญิง และแม้บุคคลข้ามเพศจะกินยาระงับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเป็นเวลา 12 เดือน การสูญเสียมวลร่างกายที่ไม่มีไขมัน พื้นที่กล้ามเนื้อและความแข็งแรงก็เพียงแค่ประมาณ 5% เท่านั้น

ผู้บริหารระดับสูงของคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งนิวซีแลนด์ เคริน สมิธ (Kereyn Smith) กล่าวว่า การเลือกฮับบาร์ดเหมาะสมแล้ว เพราะคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ของ IOC อย่างไรก็ตาม เธอก็จะยอมรับว่าการถกเถียงระหว่างความเป็นธรรมและการไม่แบ่งแยกนั้นเป็นเรื่องยาก "พวกเรารับทราบว่าอัตลักษณ์ทางเพศในกีฬาเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนซึ่งต้องการความสมดุลระหว่างสิทธิมนุษยชนและความเป็นธรรมในการเล่นกีฬาด้วย" เธอกล่าวเสริม

คู่แข่งบางคนของฮับบาร์ด รวมถึงแอนนา ฟานเบลลิงเฮน (Anna Vanbellinghen) นักยกน้ำหนักรุ่นซูเปอร์เฮฟวีเวทชาวเบลเยียมชี้ว่ามันเป็นข้อได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรม พร้อมเน้นย้ำว่าเธอสนับสนุนกลุ่มคนข้ามเพศอย่างเต็มที่ และความคิดเห็นของเธอไม่ใช่การวิจารณ์ส่วนตัวต่อฮับบาร์ด ซึ่งเธอเสริมว่าคนที่ฝึกฝนการยกน้ำหนักในระดับสูง ๆ จะรู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่ยุติธรรมต่อทั้งกีฬาและนักกีฬาเลย

ด้านกลุ่มพิทักษ์สิทธิสตรี Fair Play for Women กล่าวว่างานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดแสดงให้เห็นว่านโยบายของ IOC ไม่เหมาะสมต่อความเป้าประสงค์ของมัน “IOC ระบุไว้ในแนวทางการแปลงเพศเมื่อปี 58 ว่าเป้าประสงค์ของกีฬาที่สำคัญที่สุด คือการการันตีการแข่งขันที่ยุติธรรม” ผู้อำนวยการกลุ่ม นิโคลา วิลเลียมส์ (Nicola Williams) กล่าว “แต่กฎนี้ไม่ยุติธรรมต่อผู้หญิง และสำหรับคนข้ามเพศอย่างชัดแจ้ง ซึ่งทั้งคู่ต่างต้องการเล่นตามกฎที่ยุติธรรมสำหรับทุกคน”

Source: The Guardian

เว็บไซต์ The Guardian รายงานเมื่อ (21 มิ.ย.) ถึงประเด็นถกเถียงในวงการกีฬา หลังจาก ‘ลอเรล ฮับบาร์ด’ (Laurel Hubbard) นักยกน้ำหนักจากนิวซีแลนด์ซึ่งเป็นบุคคลข้ามเพศ ได้รับการยืนยันให้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 32 หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ โตเกียว 2020

จอมพลังวัย 43 ปีท่านนี้ เป็นนักยกน้ำหนักที่อายุมากเป็นอันดับ 4 ในโอลิมปิก เป็นผู้ท้าชิงเหรียญกีฬาประเภทยกน้ำหนักหญิง รุ่นซูเปอร์เฮฟวีเวท น้ำหนักตัว 87 กิโลกรัมขึ้นไป แม้การให้ลอเรลเข้าร่วมการแข่งขันประเภทนี้จะได้รับการยอมรับกลุ่มคนข้ามเพศ แต่ก็ยังมีอีกเสียงวิจารณ์โดยกลุ่มคนที่เห็นว่าฮับบาร์ดมีข้อได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรมกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ในด้านพลังและความแข็งแกร่ง เพราะผ่านเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ของเพศชายมาแล้ว ก่อนที่จะผ่านการแปลงเพศในปี 55

โดยฮับบาร์ด ซึ่งเคยได้เหรียญเงินในการแข่งขันชิงแชมป์โลกหญิงปี 2017 กล่าวหลังมีการประกาศการคัดเลือกว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก หลังจากฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บที่แขนอย่างสาหัสในการแข่งขันกีฬาเครือจักรภพเมื่อปี 61 (Commonwealth Games)

"ฉันรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งในความเมตตาและการสนับสนุนที่ชาวนิวซีแลนด์ทั้งหลายมอบให้" เธอกล่าว "ฉันแขนหักตอนการแข่งขันกีฬาเครือจักรภพเมื่อสามปีก่อน มีคนบอกว่าอาชีพนักกีฬาของฉันน่าจะจบสิ้นแล้ว แต่การสนับสนุน กำลังใจ และความรักจากคุณทำให้ฉันข้ามผ่านความมืดมิดนี้ไปได้"

อย่างไรก็ตาม การเลือกฮับบาร์ดเข้าแข่งขันโอลิมปิกทำเกิดความคิดเห็นแยกเป็น 2 ฝ่าย บางคนชี้ว่าผลลัพธ์ของเรื่องนี้หมายถึงนักยกน้ำหนักหญิงชาวตองงาวัย 21 ปี Kuinini Manumua จะต้องพลาดโอลิมปิกครั้งนี้ไป ขณะที่ฮับบาร์ดซึ่งมีเพศดั้งเดิมเป็นชายมา 35 ปี ก่อนการแปลงเพศไม่เคยได้เข้าแข่งขันยกน้ำหนักระดับนานาชาติเลย อย่างไรตาม หลังจากนั้นมา เธอก็ได้รับรางวัลในรายการระดับต้น ๆ หลายรายการ

การรับรองให้ฮับบาร์ดเข้าแข่งขันโอลิมปิกโตเกียว ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับบุคคลข้ามเพศของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ในปี 58 ซึ่งอนุญาตให้นักกีฬาที่เปลี่ยนจากเพศชายเป็นเพศหญิงสามารถแข่งขันในประเภทผู้หญิงโดยไม่ต้องผ่าตัดเพื่อเอาลูกอัณฑะออก หากระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (ฮอร์โมนเพศชาย) ในร่างกายต่ำกว่า 10 นาโนโมลต่อลิตรเป็นเวลาอย่างน้อย 12 เดือน

การตัดสินใจนี้ของ IOC เพิ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์หลังมีการตีพิมพ์เอกสารทางวิทยาศาสตร์ ที่ระบุว่าแม้จะทานยาเพื่อกดระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนแล้วก็ตาม ผู้ที่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ของผู้ชายก็ยังคงมีข้อได้เปรียบในด้านพลังและความแข็งแกร่งอยู่ดี

โดยปีที่ผ่านมา มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของเอมมา ฮิลตัน (Emma Hilton) และ ทอมมี่ ลุนด์เบิร์ก (Tommy Lundberg) พบว่า ผู้ชายได้เปรียบในการยกน้ำหนักถึง 30% เมื่อเทียบกับผู้หญิง และแม้บุคคลข้ามเพศจะกินยาระงับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเป็นเวลา 12 เดือน การสูญเสียมวลร่างกายที่ไม่มีไขมัน พื้นที่กล้ามเนื้อและความแข็งแรงก็เพียงแค่ประมาณ 5% เท่านั้น

ผู้บริหารระดับสูงของคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งนิวซีแลนด์ เคริน สมิธ (Kereyn Smith) กล่าวว่า การเลือกฮับบาร์ดเหมาะสมแล้ว เพราะคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ของ IOC อย่างไรก็ตาม เธอก็จะยอมรับว่าการถกเถียงระหว่างความเป็นธรรมและการไม่แบ่งแยกนั้นเป็นเรื่องยาก "พวกเรารับทราบว่าอัตลักษณ์ทางเพศในกีฬาเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนซึ่งต้องการความสมดุลระหว่างสิทธิมนุษยชนและความเป็นธรรมในการเล่นกีฬาด้วย" เธอกล่าวเสริม

คู่แข่งบางคนของฮับบาร์ด รวมถึงแอนนา ฟานเบลลิงเฮน (Anna Vanbellinghen) นักยกน้ำหนักรุ่นซูเปอร์เฮฟวีเวทชาวเบลเยียมชี้ว่ามันเป็นข้อได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรม พร้อมเน้นย้ำว่าเธอสนับสนุนกลุ่มคนข้ามเพศอย่างเต็มที่ และความคิดเห็นของเธอไม่ใช่การวิจารณ์ส่วนตัวต่อฮับบาร์ด ซึ่งเธอเสริมว่าคนที่ฝึกฝนการยกน้ำหนักในระดับสูง ๆ จะรู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่ยุติธรรมต่อทั้งกีฬาและนักกีฬาเลย

ด้านกลุ่มพิทักษ์สิทธิสตรี Fair Play for Women กล่าวว่างานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดแสดงให้เห็นว่านโยบายของ IOC ไม่เหมาะสมต่อความเป้าประสงค์ของมัน “IOC ระบุไว้ในแนวทางการแปลงเพศเมื่อปี 58 ว่าเป้าประสงค์ของกีฬาที่สำคัญที่สุด คือการการันตีการแข่งขันที่ยุติธรรม” ผู้อำนวยการกลุ่ม นิโคลา วิลเลียมส์ (Nicola Williams) กล่าว “แต่กฎนี้ไม่ยุติธรรมต่อผู้หญิง และสำหรับคนข้ามเพศอย่างชัดแจ้ง ซึ่งทั้งคู่ต่างต้องการเล่นตามกฎที่ยุติธรรมสำหรับทุกคน”

Source: The Guardian

ละครดี ซีรีส์เด่น

ดูทั้งหมด

♫ ♫ Songs Popular ♫ ♫

ดูทั้งหมด

คลิปมาใหม่

คนดูเยอะ 👀

ดูทั้งหมด

เสน่ห์ประเทศไทย