Loading...

แชร์

Copied!

“รัฐธรรมนูญในฝัน หน้าตาเป็นอย่างไร ?” ระดมสมองผ่าสูตรยกร่างและจับตารับศึกข่าวปลอม เลือกตั้ง 69

4 ธ.ค. 68 | 14:28 น.
“รัฐธรรมนูญในฝัน หน้าตาเป็นอย่างไร ?” ระดมสมองผ่าสูตรยกร่างและจับตารับศึกข่าวปลอม เลือกตั้ง 69
สื่อ-นักวิชาการชี้ การเลือกตั้ง 2569 คือจุดเปลี่ยนสำคัญ พร้อมเสนอให้รัฐธรรมนูญใหม่ยึดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นแกนกลาง พร้อมสร้างกลไกป้องกันผูกขาดอำนาจและตรวจสอบได้จริง จากงาน Fact-Check Thailand 2026

“การเลือกตั้งปี 2569” เป็นหมุดหมายสำคัญ เช่นเดียวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นรากหลักของระบบการเมืองที่พลเมืองทุกคนเป็นเจ้าของ การมีส่วนร่วมในการจับตา ตรวจสอบ และยืนยันข้อเท็จจริง เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะบทบาทของสื่อมวลชนซึ่งเป็นด่านหน้าในการส่งต่อข้อมูลสู่สาธารณะ การนำเสนอข่าวสารอย่างรอบคอบ โปร่งใส และตรวจสอบได้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดในช่วงเวลานี้

ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของการเตรียมสู้ศึกข่าวปลอมช่วงเลือกตั้ง โดยองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือไทยพีบีเอส Thai PBS Verify และ Policy Watch ร่วมกับ Cofact Thailand มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย จัดติวเข้มสื่อมวลชน ผู้สื่อข่าวภูมิภาคไทย ในงาน Fact-Check Thailand 2026 ระหว่างวันที่ 19 – 22 พ.ย. 2568 

สำหรับเวทีในวันที่ 20 พ.ย. 68 ผู้เข้าร่วมได้ร่วมรับฟังการเสวนาเวที Policy Face-off: นโยบายชนความจริง เจาะลึกประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง รับฟังมุมมองจากตัวแทนพรรคการเมืองและนักวิชาการ ก่อนที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญของการตัดสินใจร่วมกันในปี 2569

รศ. ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตัวแทนผู้ร่วมจัดโครงการนี้ เปิดเผยว่า สถานทูตเยอรมนีในฐานะผู้สนับสนุนโครงการนี้มองว่า สิ่งที่จะทำให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นนี้บริสุทธิ์ยุติธรรมที่สุด คือ “การรายงานข่าวที่เข้มแข็ง” เพราะข้อมูลที่ถูกต้องและรอบด้านจะช่วยให้ประชาชนตัดสินใจได้ดีที่สุดเมื่อเข้าคูหา โดยเฉพาะข้อมูลด้านนโยบาย ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

เธออธิบายว่า ในสังคมไทยเรามักพูดถึง “ความถูกต้องเป็นกลาง” ขณะที่หลายประเทศเน้น “ความโปร่งใส” ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่มาก ดังนั้น Thai PBS Verify และพันธมิตร จึงเชิญนักการเมืองและนักวิชาการมาร่วม เพื่อสะท้อนมุมมองที่หลากหลาย และทำให้การนำเสนอข้อมูลมีทั้งความสมดุลและโปร่งใสมากที่สุด

ผ่าสูตร 20 หยิบ 1 : ก่อนจะถึงปลายทางการแก้ไข รธน.

เส้นทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะต้องเผชิญทั้งเงื่อนไขทางกฎหมายและแรงต้านทางการเมืองหลายชั้น จึงนำไปสู่ข้อเสนอ 

“สูตร 20 หยิบ 1” สำหรับใช้คัดเลือกคณะกรรมาธิการยกร่างฯ โดยให้สมาชิกรัฐสภารวมกลุ่ม 20 คน เพื่อเสนอรายชื่อ กมธ.ได้ 1 คน หวังลดการผูกขาดอำนาจและทำให้กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญมีความหลากหลายมากขึ้น

ชวนดูมุมมองจากตัวแทนพรรคการเมืองและนักวิชาการว่า สูตรนี้มีข้อดี–ข้อเสียอย่างไร และจะส่งผลต่อความเป็นไปได้ของการแก้รัฐธรรมนูญมากน้อยเพียงใด

ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส. พรรคประชาชน กล่าวว่า จุดยืนของพรรคประชาชนที่เน้นย้ำมาเสมอคือ สภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. ต้องมาจากการเลือกตั้ง 100% แต่เมื่อเกิดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ทำให้เพดานไปไม่ถึงจุดนั้น หลายพรรคการเมืองจึงต้องคิด นวัตกรรมทางการเมืองว่าจะออกแบบร่างอย่างไรให้ไม่ขัดคำวินิจฉัย และยังยืนอยู่บนสองหลักการสำคัญ คือ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด และ ป้องกันการผูกขาดจากพรรคใดพรรคหนึ่ง

ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส. พรรคประชาชน

กว่าที่จะได้ร่างนี้มา ก็ใช้เวลาออกแบบพอสมควร ขอเรียกมันว่า นวัตกรรมทางการเมือง เพราะไม่เคยมีมาก่อน เมื่อเทียบกับทั้ง 3 ร่าง ทั้งของพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย จะเห็นว่า ร่างของเราน่าจะเป็นเพียงร่างเดียวที่ยังคงไว้ซึ่งคูหาเลือกตั้ง หรือยังคงมีการเลือกตั้งอยู่ ซึ่งคำว่า เลือกตั้ง นี้ ก็เป็นข้อกังวลมาก ว่าจะไปกระทบกับคำวินิจฉัยของศาลฯ เราจึงต้องใช้ถ้อยคำให้ระมัดระวังที่สุด แต่ยังรักษาการมีส่วนร่วมของประชาชนไว้มากที่สุด 

แม้การเลือกตั้ง สสร. โดยตรงจะขัดกับคำวินิจฉัยของศาลฯ แต่การเลือกตั้งโดยอ้อม ตัวแทนพรรคประชาชนว่ายังสามารถทำได้ คือ ศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า ห้ามการเลือกตั้ง ส.ส.ร. โดยตรงจากประชาชน จึงตีความว่า หากเป็นการเลือกตั้งโดยอ้อม หรือการเลือกตั้งที่ ไม่กระทบต่อการร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง ก็ยังสามารถทำได้อยู่เช่นการที่ประชาชนเลือก สส. และ สว. มา แล้วให้ สส.-สว. คัดเลือกกรรมาธิการตามหลัก “20 หยิบ 1” และการมีคณะกรรมาธิการที่ปรึกษาของคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งให้ประชาชนมีส่วนร่วมโดยไม่ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลฯ

สูตร 20 หยิบ 1 “ไม่ใช่ยารักษาโรค” ?

ด้านมุมมองนักวิชาการ ศ. ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ชื่นชมเจตนารมณ์ของสูตรนี้ที่มีเป้าหมายเพื่อลดการผูกขาด เพราะหากใช้เสียงข้างมากในสภาทั้งหมด 700 คน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเสียงไหลเทไปทางเดียว ก็สามารถกุมอำนาจได้ทั้งหมด ดร.สิริพรรณ กล่าวว่า เราทราบกันอยู่แล้วว่า สว. 167 คน เห็นด้วยกับร่างของพรรคภูมิใจไทย นั่นหมายความว่า ในกระเป๋ามีอยู่แล้ว 167 เสียง หากอีกฝ่ายหนึ่งรวมเสียงได้สัก 220 เสียง แล้วนำมาบวกกับ 167 เสียง ก็จะเกินกึ่งหนึ่งของ 700 เสียงทันที ดังนั้น หากมีกรรมาธิการ 35 คน ก็เป็นไปได้สูงว่าฝ่ายนี้จะกุมทั้ง 35 คนได้ทั้งหมด หากมองว่าสูตรนี้ถูกคิดมาเพื่อป้องกันการผูกขาด ก็ถือว่าเป็นสูตรที่มีเหตุผลในเชิงหลักการ

ศ. ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อย่างไรก็ตาม ดร.สิริพรรณ มองว่าสูตรนี้ “ไม่ใช่ยารักษาโรค” ที่ใช้แล้วจะแก้ปัญหาทุกอย่าง หรือลดการผูกขาดได้อย่างสิ้นเชิง เช่น หากดูตัวเลขของ สว. 167 คน ก็ได้โควตาราว 8.5 คนจากสูตรนี้ ส่วน สว. พันธุ์ใหม่หรือ สว. อิสระ อาจได้เพียงครึ่งคนเท่านั้น ในขณะเดียวกัน หากอีกฝ่ายหนึ่งรวมเสียง สส. ข้างมากได้ราว 220 เสียง ก็จะได้ประมาณ 11 คน เมื่อนำ 11 บวกกับ 8 ก็รวมเป็น 19 คน ซึ่งถือว่าเกือบครึ่งของ 35 แล้วเช่นกัน จึงยังมีความเป็นไปได้ที่ฝ่ายหนึ่งจะได้ กมธ. ยกร่างมากกว่าอีกฝ่าย แต่ข้อดีของสูตรนี้คือ ต่อให้ฝ่ายหนึ่งได้ 19 คน อีกฝ่ายก็ยังมีส่วนแบ่ง และจะไม่เกิดสถานการณ์ที่ฝ่ายหนึ่งกวาดไปทั้งหมดแบบเบ็ดเสร็จ

นอกจากนี้ ดร.สิริพรรณ ยังเสนอแนะเกี่ยวกับการแก้มาตรา 256 โดยฝากให้ กมธ. พิจารณาการใส่กรอบวิธีการแก้ไขและกรอบเนื้อหา ลงไปในร่างมาตรานี้ด้วย เช่น การระบุให้ชัดเจนว่า ประเด็นใดบ้างที่แก้ได้ และประเด็นใดที่จะไม่แก้ 

การกำหนดกรอบดังกล่าวไว้ในมาตรา 256 ซึ่งต้องนำไปสู่การออกเสียงประชามติ จะช่วยให้ประชาชนเห็นชัดว่ากำลังแก้เรื่องใด และหากประชามติผ่าน ก็จะเป็นเหมือนเงื่อนไขที่ผูกมัดกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญชุดต่อไป ให้ต้องยึดตามเจตจำนงนี้ด้วยอย่างน้อยในระดับหนึ่ง

นอกจากนี้ อีกมุมหนึ่ง สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มองว่าการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากความยินยอมพร้อมใจของทุกพรรคการเมืองในสภา แต่เป็นผลจากเงื่อนไขทางการเมือง เนื่องจากพรรคภูมิใจไทยไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลด้วยเสียงข้างมากได้ และต้องอาศัยเสียงโหวตจากพรรคประชาชน ขณะที่พรรคประชาชนก็มีเงื่อนไขเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเป็นข้อแลกเปลี่ยน

สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

สำหรับมุมมองของพรรคประชาธิปัตย์ สาทิตย์กล่าวว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 มีปัญหาตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะประเด็นบทเฉพาะกาลที่เปิดให้ สว. มีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นจุดอ่อนสำคัญตั้งแต่แรก

นอกจากนี้ยังเสนอว่า หากจะมีการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ควรพิจารณาเรื่องการตรวจสอบจริยธรรมทางการเมือง ซึ่งยังเป็นหัวใจสำคัญที่ต้องมีอยู่ในรัฐธรรมนูญ แต่องค์กรที่ทำหน้าที่วินิจฉัยเรื่องจริยธรรมทางการเมือง อาจไม่จำเป็นต้องเป็นศาลรัฐธรรมนูญ และควรพิจารณาว่าอาจมีองค์กรรูปแบบอื่น

สำหรับสูตร 20 หยิบ 1 สาทิตย์ กังวลเรื่องความรับผิดชอบทางการเมือง โดยมองว่าหากผู้ถูกเลือกเป็น “นอมินี” ของ สส. หรือ สว. กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะทำให้รัฐสภาไม่ต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อการแก้รัฐธรรมนูญ แต่โยนความรับผิดชอบไปให้กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญแทน ซึ่งอาจสร้างปัญหาเรื่องความโปร่งใสและความชอบธรรมในการตัดสินใจทางการเมืองในอนาคต

“สำหรับสูตร “20 หยิบ 1” ผมเข้าใจว่าที่มาของสูตรนี้คือเพื่อให้ได้ สสร. จึงออกมาในรูปแบบนี้ แต่ก็มีข้อกังวลสำคัญ ข้อหนึ่งคือ สูตรนี้ตั้งขึ้นเพื่อกระจายโอกาสไปยังผู้ที่จะมาร่างรัฐธรรมนูญ แต่ประเด็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ มีโอกาสที่ผู้ถูกเลือกจะเป็น “นอมินี” ของ สส. หรือ สว. ทั้ง 20 คน เป็นตัวแทนทางการเมือง ความคิด ของ 20 คนนั้น หากเป็นเช่นนี้ก็เกิดคำถามว่า ทำไมรัฐสภาไม่แก้ไขเองเสียเลย เพราะรัฐสภาควรรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัดสิน แต่เมื่อใช้สูตรนี้แล้วส่งนอมินีเข้าไป กรรมาธิการเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญแทน นักการเมืองก็ไม่ต้องรับผิดชอบโดยตรง การตัดสินใจใด ๆ จึงถูกโยนให้กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญรับผิดแทน ทั้งที่จริงแล้วรัฐสภาควรเป็นผู้รับผิดชอบต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญเอง”

การยกร่างที่ไม่กินรวบ: เพิ่มดุลอำนาจให้เสียงข้างน้อยใน กมธ. 

ด้าน ณัชปกร นามเมือง เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ (CALL) กล่าวว่า สูตร “20 หยิบ 1” สะท้อนปัญหาของรัฐธรรมนูญปี 2560 อย่างชัดเจน 

“หากจำกันได้ ตั้งแต่ปี 2563-2564 เรายืนยันเสมอว่า สสร. ควรมาจากการเลือกตั้งโดยตรง 100% และร่างที่เข้าสู่การพิจารณาวาระสามในปี 2564 ก็ยังเป็น สสร. เลือกตั้ง แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็หายไปอย่างกะทันหัน ด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งสะท้อนปัญหาของรัฐธรรมนูญ 2560 ได้อย่างดี เพราะศาลระบุว่ารัฐสภาไม่สามารถให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงได้ ทั้งที่ประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดในการสถาปนารัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดความย้อนแย้ง”

ณัชปกร นามเมือง เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ (CALL)

นอกจากนี้ การที่ศาลออกคำวินิจฉัยโดยไม่สอบถามหรือเปิดให้มีข้อท้วงติง และไม่ได้ให้เหตุผลที่ชัดเจนว่า ทำไมจึงห้ามประชาชนเลือก ทำให้ทุกพรรคการเมืองต้องยอมปฏิบัติตามบรรทัดฐานนี้ เพราะหากไม่ทำตาม อาจเสี่ยงต่อการถูกยุบพรรคหรือมาตรการทางการเมืองอื่น ๆ ส่งผลให้เกิดบรรยากาศความกลัวทางการเมือง และเป็นที่มาของสูตร “20 หยิบ 1”

“ข้อกังวลของสูตรนี้คือ มันเน้นการอิงสัดส่วนเสียง แต่ไม่ได้ระบุว่ามีความความชอบธรรมเพียงพอ อีกเรื่องที่เราถกเถียงกันน้อยมากคือ สูตรนี้แปลว่าเรายอมรับว่าอำนาจของ สส. และ สว. เท่ากัน ทั้งที่ความชอบธรรมของสองสภานี้แตกต่างกันอย่างชัดเจน สภาหนึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน ส่วนอีกสภามาจากการเลือกกันเอง ผมอยากให้เกิดการถกเถียงเรื่องนี้อย่างจริงจัง”

“อาจจะต้องมาแก้โจทย์ที่การลงมติของกรรมาธิการยกร่าง ถ้าใช้เสียงกึ่งหนึ่งจะทำให้สัดส่วนข้างมากชนะตลอดเวลา อาจจะต้องมานั่งคิดว่า ในชั้น กมธ.ยกร่าง คุณจะต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ได้ไหม เพื่ออย่างน้อยที่สุด  เสียงข้างน้อยในกมธ. มันยังอำนาจต่อรองบ้าง ไม่ให้เกิดการกินรวบ”

นอกจากนี้ ศ. ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี มองว่า เสถียรภาพทางการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ  เพราะสิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ และควรเน้นเรื่องการสร้างเสถียรภาพทางการเมืองใน รธน. ฉบับใหม่

“เราอยู่ในหลุมพรางของการแก้รธน. ทั้งฉบับมายาวนานมาก คำถามคือแก้ รธน. ทั้งฉบับกับแก้แบบรายมาตรา ทำไมจะแก้ไม่ได้ อย่าง รธน.ฉบับปี 40 มาจากการแก้ รธน. ปี 34 ถึง 6 ครั้ง จนสร้างโมเมนตัมและความพยายามในการแก้ทั้งฉบับจนเกิดฉันทามติ”

รัฐธรรรมนูญในฝัน ต้องหน้าตาเป็นอย่างไร ?

สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องรัฐธรรมนูญ เขาไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรายมาตราตลอดเวลา เพราะไม่อยากให้รัฐธรรมนูญกลายเป็นเรื่องเฉพาะของฝั่งการเมือง ไม่อยากเห็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อปรับระบบเลือกตั้ง แต่เน้นให้มีเสถียรภาพทางการเมือง อยากเห็นการปรับบทบาทขององค์อิสระให้ไม่มาแทรกแซงเกินขอบเขตกับฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร

สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

“ที่สำคัญคือรัฐธรรมนูญต้องใช้งานได้ ตอบโจทย์ปัญหาปากท้องของประชาชน พร้อมคงจุดยืนของแนวคิดอนุรักษ์นิยมตามหลักของภูมิใจไทย”

สำหรับ ณัชปกร นามเมือง เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ (CALL) กล่าวว่า รัฐธรรมนูญในฝันต้องตรวจสอบทุจริตได้จริง ไม่ใช่เชิงจริยธรรม 

ผมอยากได้ รธน. ฉบับปราบโกง แต่ผมไม่ได้อยากได้แบบฉบับปี 60 เพราะเน้นเรื่องศีลธรรมอย่างสุดโต่ง เราจะเห็นว่าทั้งคุณเศรษฐาและคุณแพทองธาร ถูกตัดสิทธิทางเมืองด้วยถ้อยคำที่เป็นเรื่องศีลธรรม 

เราอยากเห็นการปราบโกงที่จัดการทุนสแกมเมอร์ เรื่องสินบน การเชื่อมโยงทรัพย์สิน ป.ป.ช. ปปง. สตง. คุณต้องเข้าไปตรวจสอบเส้นทางการเงิน เราอยากเห็นปราบคอร์รัปชันที่เป็นสากล ไม่ใช่เชิงศีลธรรม 

ข้อสอง เราไม่ควรปราบโกงแบบอำนาจนิยม มาตรฐานจริยธรรมชัดเจนมากว่ามันมีสถานะเทียบเท่ากฎหมาย หรือ รธน. แต่ถามว่าใครเป็นคนร่าง ก็คือองค์กรอิสระและศาลรธน. ที่ตอนนั้นยึดโยงกับคสช. เป็นคนยกร่างนี้ขึ้นมา 

“รธน. ติดดาบให้กับองค์กรอิสระและศาลรธน. ที่มาจาก คสช. ในการมาลงโทษนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง”

สิ่งที่ไม่อยากเห็นอีกคือการปราบโกงที่ไม่มีธรรมาภิบาล เช่น การจัดการกับคดีฮั้ว สว. จะทำอย่างไรให้โปร่งใสและตรวจสอบได้จริง

รธน.ที่ดีต้องยึดหลัก “สิทธิและเสรีภาพของประชาชน” เป็นหัวใจของการร่างทุกมาตรา

ณัชปกร นามเมือง กล่าวว่า มายาคติที่ไม่อยากให้เกิดบรรยากาศเหล่านี้ในภาคประชาชน คือบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกว่าการแก้รัฐธรรมนูญเป็นผลประโยชน์ของพรรคการเมือง 

“ที่ผ่านมาเราต่อสู้เรื่อง “เนื้อหา” ของรัฐธรรมนูญมาตลอด เช่นกรณีปัญหาแม่น้ำกก เดิมรัฐธรรมนูญปี 40–50 เคยรับรองสิทธิที่จะมีสภาพแวดล้อมที่ดี แต่รัฐธรรมนูญปี 60 ถูกตัดสิทธิเหล่านี้ออกไป ทำให้ประชาชนไม่มีเครื่องมือในรัฐธรรมนูญไว้ใช้ต่อสู้กับรัฐหรือเรียกร้องให้รัฐต้องรับผิดชอบ”

สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญในฝันต้องคืนสิทธิฯ พื้นฐาน ให้ประชาชน

“เรื่องใหญ่ที่สุดในความเห็นผมคือ การแทรกแซงของทุนสีเทา ที่เข้าไปคุมพรรคการเมือง ปัญหาสำคัญของการเขียนรัฐธรรมนูญคือ ทำอย่างไรให้เรามีการเลือกตั้งที่ได้ตัวแทนของประชาชนจริง ๆ โดยต้องมีกลไกตรวจสอบความโปร่งใส และความสุจริตยุติธรรมในกระบวนการเลือกตั้งอย่างเข้มข้น”

“ผมไม่เชื่อ กกต. จนถึงทุกวันนี้ ผมคิดว่ารัฐธรรมนูญที่ดีต้อง ยกเครื่องเรื่อง กกต. ใหม่ทั้งหมด สร้างกลไกตรวจสอบที่มาของการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง การเลือกตั้งครั้งต่อไปจะเป็นตัวพิสูจน์ทุกอย่าง”

“อีกเรื่องที่สำคัญคือ สิทธิและเสรีภาพของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิชุมชน สิทธิในการปกป้องวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือที่เรียกว่าสิทธิชุมชนหน้าบ้าน สิ่งเหล่านี้ควรถูกบรรจุไว้เป็นข้อต่อสู้กับโครงการที่ใช้อำนาจรัฐกดทับท้องถิ่น เพราะทุกวันนี้ท้องถิ่นเราแทบไม่มีอำนาจอะไรเลย”

“โครงการของรัฐหลายอย่างไม่ได้เกิดจากความจำเป็น แต่เกิดจากความต้องการใช้เงิน ของหน่วยงานและนักการเมืองในระบบนั้น”

ดังนั้น เราต้องติดอาวุธให้ชาวบ้านในท้องถิ่น ให้เขามีพลังต่อรองและปกป้องพื้นที่ของตัวเองได้จริง ๆ

ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส. พรรคประชาชน กล่าวว่า เรายังคงยืนยันในหลักสิทธิเสรีภาพของประชาชน ต้องได้รับการคุ้มครองในรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญปัจจุบันได้ตัดสิทธิหลายอย่างออกไป รวมถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรมด้วย แม้บางคนจะโต้แย้งว่ามีกฎหมายลูกรองรับอยู่แล้ว แต่สุดท้ายหากรัฐธรรมนูญไม่กำหนด กฎหมายลูกใด ๆ ก็อาจแก้ไขได้โดยไม่ชอบธรรม การออกแบบรัฐธรรมนูญจึงต้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชน

ประเด็นที่สองคือ ความเสมอภาคและความเท่าเทียม ซึ่งสามารถแตกแขนงไปเป็นกฎหมายลูกหลายฉบับได้ โดยต้องไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เพื่อช่วยให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น การดำเนินนโยบายต่าง ๆ จึงสามารถเชื่อมโยงกับรัฐธรรมนูญเป็นกรอบหลัก

ประเด็นที่สามคือ การจัดการเรื่องทุจริต ซึ่งต้องมีมาตรการรองรับให้ชัดเจนและป้องกันการละเมิดสิทธิของประชาชน