Loading...

แชร์

Copied!

FactFreeFair: เมื่อนักข่าวหญิงไม่ปลอดภัยทั้งในสนามข่าวและสงครามข้อมูล

28 ต.ค. 6814:39 น.
FactFreeFair: เมื่อนักข่าวหญิงไม่ปลอดภัยทั้งในสนามข่าวและสงครามข้อมูล
การทำงานในฐานะนักข่าวหญิงยังเต็มไปด้วยอคติและความเสี่ยงจากการคุกคามหลายรูปแบบ การอบรม FactFreeFair Workshop for Women Journalists/Fact Checkers in Thailand 2025 จึงมุ่งสร้างพื้นที่ปลอดภัย เสริมทักษะด้านความปลอดภัยดิจิทัล กฎหมาย และการตรวจสอบข้อเท็จจริง ให้ผู้สื่อข่าวหญิงสามารถแยกแยะข่าวปลอม รู้เท่าทันข้อมูล และทำงานสื่ออย่างมั่นใจและปลอดภัย

เมื่อการเป็น “นักข่าวหญิง” ยังถูกมองว่าเป็นเพียงไม้ประดับของวงการ นั่งเคียงข้างผู้ประกาศข่าวชาย หรือยืนรายงานพยากรณ์อากาศ หรือผูกติดกับโต๊ะบันเทิง คอยส่งต่อความสดใสผ่านหน้าจอ มากกว่าจะได้รับการยอมรับในด้านความสามารถ นอกจากต้องต่อสู้กับอคติทางเพศแล้ว ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการคุกคามหลากรูปแบบ ทั้งทางเพศ การติดตามจากภาครัฐ หรือแรงกดดันเมื่อรายงานข่าวเชิงลึกที่แตะต้องประเด็นอ่อนไหว

ปรากฏการณ์นี้เองที่กลายเป็นแรงกระเพื่อมให้เกิดกระแส #MeToo ในแวดวงสื่อและภาพยนตร์ ขณะเดียวกัน รายงานของ International Federation of Journalists (IFJ) เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560 ซึ่งสำรวจผู้สื่อข่าวหญิงเกือบ 400 คนใน 50 ประเทศ พบว่า ร้อยละ 48 เคยถูกคุกคามทางเพศระหว่างปฏิบัติหน้าที่ และ ร้อยละ 44 เผชิญการคุกคามทางเพศในโลกออนไลน์ โดยผู้กระทำส่วนใหญ่ร้อยละ 45 คือแหล่งข่าวหรือผู้ติดตามข่าว ขณะที่อีกร้อยละ 38 เป็นเจ้านายหรือหัวหน้างานในองค์กรสื่อเอง

 “กังวลเรื่องการถูกคุกคามทางเพศจากแหล่งข่าว รวมถึงการใกล้ชิดกับแหล่งข่าว”

เสียงสะท้อนจากผู้เข้าร่วมคลาสอบรม การอบรมเชิงปฏิบัติการด้านความปลอดภัยดิจิทัลและการตรวจสอบข่าวลวงสำหรับผู้สื่อข่าวหญิง (FactFreeFair Workshop for Women Journalists/Fact Checkers in Thailand 2025)  ที่จัดชึ้นเมื่อวันที่ 25 – 26 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ว่าการทำงานสื่อในฐานะผู้หญิง มักกลายเป็นข้อเสียเปรียบเมื่อต้องเข้าถึงแหล่งข่าว และทำให้รู้สึกแปลกแยกจากสภาพแวดล้อม การทำงานที่ผู้ชายยังเป็นเสียงหลักในวงการสื่อ งานนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่นักข่าวหญิงต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการถูกคุกคามจากแหล่งข่าวหรือบุคคลแปลกหน้า ความยากลำบากในการทำงานในพื้นที่เสี่ยงที่มีผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ การลงพื้นที่เพียงลำพัง หรือแม้แต่การถูกคุกคามทางคำพูดระหว่างปฏิบัติหน้าที่ 

ผู้หญิงในสนามข่าว: ความเสี่ยงที่ต้องรู้ และรับมืออย่างปลอดภัย

สำหรับคลาสแรกในครึ่งวันประเดิมด้วย สถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา ผู้จัดการฝ่ายฝึกอบรมความปลอดภัย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้ร่วมส่งต่อวิธีสร้างความปลอดภัยทางดิจิทัล และกายภาพแบบองค์รวมสำหรับผู้สื่อข่าวหญิง พร้อมแนะนำว่า เมื่อผู้สื่อข่าวรู้สึกไม่ปลอดภัยจากการทำงาน ควรรีบแจ้งผู้บังคับบัญชาหรือผู้มอบหมายงาน เพื่อร่วมกันหาสาเหตุว่า การถูกคุกคามนั้นเกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าวหรือไม่ จากนั้นจึงกลับมาประเมินระดับความเสี่ยงและภัยคุกคาม หากมั่นใจว่าถูกคุกคามจริง ควรพิจารณาเปิดเผยต่อสาธารณะ พร้อมทั้งติดต่อแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เกี่ยวข้องและตำรวจไซเบอร์ เพื่อดำเนินการต่อไป

นอกจากนี้ ยังเน้นหลักการทำข่าวในพื้นที่ความขัดแย้งว่า ผู้สื่อข่าวจำเป็นต้องประเมินสถานการณ์ และทำความรู้จักพื้นที่ก่อนลงพื้นที่ทุกครั้ง “หลักการคือ ไม่เพิ่มจำนวนผู้บาดเจ็บ” ดังนั้น การรู้วิธีเอาตัวรอดในสถานการณ์เสี่ยงจึงเป็นทักษะที่สำคัญ ไม่แพ้ความสามารถในการรายงานข่าวเอง 

สถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา ผู้จัดการฝ่ายฝึกอบรมความปลอดภัย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

สร้างพื้นที่ปลอดภัย-พลังและทักษะ Fact-check ให้ผู้หญิงในแวดวงสื่อ

นอกจากเรื่องของการ Empower สื่อหญิงในเรื่องความปลอดภัยในการทำงานในพื้นที่ความขัดแย้งรวมถึงการถูกคุกคามทางเพศแล้ว สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค ประเทศไทย กล่าวว่า การจัดอบรมในครั้งนี้มาจากการที่อยากสะท้อนให้เห็นปัญหาหลักที่เป็นภาพจำของสังคมเอเชีย เนื่องจากผู้หญิงจำนวนมากยังมีภาระทั้งงานบ้าน การดูแลลูก และบทบาทความเป็นภรรยา จึงยากที่จะลางานหรือสละวันหยุดมาร่วมกิจกรรมได้ สถานการณ์นี้ยิ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นที่ผู้หญิงในแวดวงสื่อควรได้รับโอกาสในการพัฒนาองค์ความรู้ของตนเอง ไม่ใช่เพียงทำงานและดูแลครอบครัวเท่านั้น โดยเป้าหมายสำคัญของการอบรมคือการส่งเสริมให้ผู้หญิงเติบโตในวิชาชีพ มีพื้นที่ปลอดภัยในการเรียนรู้ และสามารถทำงานได้อย่างมั่นใจโดยปราศจากความกังวล

นอกจากนี้ ยังกล่าวว่าการจัดอบรมครั้งนี้ที่มีผู้เข้าร่วมเป็นนักข่าวหญิงล้วน มาจากแนวคิดของพาร์ตเนอร์อย่าง Reporters Without Borders (RSF) หรือองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน ซึ่งให้ความสำคัญกับบทบาทของผู้หญิงในแวดวงสื่อ เนื่องจากในสายงานสื่อสารมวลชน เทคโนโลยี และการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-Check) ยังมีผู้หญิงอยู่น้อย หากไม่กำหนดโควตาเฉพาะผู้หญิงก็อาจทำให้มีผู้เข้าร่วมน้อย จึงตั้งใจจัดการอบรบครั้งนี้ให้เป็นพื้นที่สำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ เพื่อเปิดโอกาสและกระตุ้นให้องค์กรต่าง ๆ ส่งนักข่าวหญิงเข้าร่วมมากขึ้น

“แนวคิดนี้ยังสอดคล้องกับภารกิจของ Cofact ซึ่งทีมงานส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิง เราเชื่อว่าผู้หญิงมีทักษะเฉพาะตัวในการทำงาน Fact-Check เช่น ความละเอียดรอบคอบ ขณะที่ผู้ชายเองก็มีศักยภาพเช่นกัน แต่ผู้หญิงมักต้องเผชิญความเสี่ยงมากกว่าในเชิงกายภาพและความปลอดภัย จึงอยากให้มีพื้นที่และระบบสนับสนุนที่ช่วยให้ผู้หญิงทำงานได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากขึ้น”

ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค ประเทศไทย เสริมว่า โครงการนี้ไม่ได้มีเจตนากีดกันเพศอื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือเพศหลากหลาย แต่เป็นโครงการทดลอง เพื่อดูว่าหากเป็นการอบรมที่มีผู้หญิงล้วน จะเกิดการเรียนรู้หรือบรรยากาศที่แตกต่างอย่างไร หากได้ผลดีก็อาจต่อยอดเพิ่มองค์ประกอบในรุ่นต่อไป จุดประสงค์สำคัญคือการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้พัฒนา ได้รับพลังบวก และมีการเยียวยาใจร่วมกัน เพราะเมื่อผู้หญิงอยู่ร่วมกัน มักเกิดความรู้สึกเป็นพี่ เป็นน้อง คอยให้กำลังใจกัน ก่อนกลับไปทำงานในสนามจริง

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค ประเทศไทย

ทำไมถึงต้องสนับสนุนงาน Fact-Checker โดยเฉพาะผู้สื่อข่าวหญิง ?

“หลายครั้งการตรวจสอบข้อเท็จจริงอาจดูเหมือนเรื่องเล็กหรือไม่เป็นสาระ คนทั่วไปอาจมองว่าไม่น่าจะต้องเสียเวลามานั่งหักล้าง แต่ในความเป็นจริง เรื่องเล็ก ๆ เหล่านี้กลับส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิด ความสับสน และความเกลียดชังในสังคม ดังนั้น “Fact-Checker” จึงมีบทบาทสำคัญในการเติมเต็มงานข่าวให้สมบูรณ์

“Fact-Checker ต้องมีทั้งความรู้ ความเข้าใจในกฎหมาย ความปลอดภัยทางดิจิทัล และความชำนาญในการใช้เครื่องมือตรวจสอบข้อมูล บางมุมอาจต้องละเอียดและเข้มงวดกว่านักข่าวทั่วไป เพราะต้องอธิบายได้ว่าข้อมูลใด ไม่จริงและทำไมจึงไม่จริง งานตรวจสอบข่าวจึงเป็นงานหนัก ที่ใช้เวลาอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และมือถือเป็นเวลานาน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเหนื่อยล้า ดังนั้น การอบรมครั้งนี้จึงออกแบบให้เป็นทั้งพื้นที่ เรียนรู้และพักใจ เพื่อให้นักข่าวหญิงได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ผ่อนคลาย และกลับไปทำงานด้วยพลังใหม่อีกครั้ง”

ภูมิคุ้มกันที่ดี คือการรู้เท่าทันข้อมูล

กว่า 10 ปีของการมีอยู่ของรายการ “ชัวร์ก่อนแชร์” สะท้อนให้เห็นว่า ไม่ว่ากี่ปีผ่านไป ข่าวปลอมก็ยังคงแพร่กระจายต่อเนื่อง พีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการและผู้ดำเนินรายการชัวร์ก่อนแชร์ หนึ่งวิทยากรจากการอบรมเรื่องเครื่องมือตรวจสอบข่าวในครั้งนี้ กล่าวว่า จากประสบการณ์กว่า 10 ปีในฐานะภาพจำผู้ดำเนินรายการชัวร์ก่อนแชร์ พบว่าข่าวปลอมที่ประชาชนส่งเข้ามามี 2 ประเภทหลัก คือ เรื่องสุขภาพในรูปแบบต่าง ๆ และเรื่องเหตุการณ์ปัจจุบัน เช่น ภัยธรรมชาติ การเมือง หรือความขัดแย้งในไทยและกัมพูชา โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ข่าวปลอมเริ่มขยายไปสู่ภัยไซเบอร์ เช่น เพจปลอม การหลอกลงทุน และเนื้อหาหลอกลวงในโลกออนไลน์ ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

พร้อมเน้นว่า ประชาชนควรให้ความสำคัญกับปัญหาข่าวปลอม แม้ว่าบางคนจะมีวิจารณญาณในการเสพข่าวอยู่แล้ว แต่ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารมีจำนวนมหาศาล การตรวจสอบและแยกแยะข้อเท็จจริงถือเป็นสิ่งจำเป็น งาน Fact-Check จึงช่วยให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันต่อข้อมูลผิด ๆ ในระยะยาว และแนะนำว่าในการตรวจสอบข้อเท็จจริง สิ่งสำคัญคือต้องแยกข้อคิดเห็นออกจากข้อเท็จจริง โดยยึด 3 เสาหลักของการตรวจสอบข่าว ได้แก่ การสืบหาต้นตอ วิเคราะห์แหล่งที่มา และตรวจสอบเนื้อหา

“แม้ผ่านมา 10 ปี การแก้ปัญหาข่าวปลอมยังไม่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อก่อนคาดหวังว่าบริษัทเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มต่าง ๆ จะช่วยลดปัญหานี้ได้ แต่หลายปีที่ผ่านมา ข่าวเก่ายังคงแพร่กระจาย ขณะที่ข่าวที่ผลิตโดย AI ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

สำหรับการแยกแยะข่าวปลอม พีรพลแนะนำว่า ประชาชนควรอย่าเชื่อทุกอย่างตั้งแต่แรก เพราะการเชื่อโดยไม่ตรวจสอบจะมีโอกาสตกเป็นเหยื่อสูง วิธีที่ถูกต้องคือสงสัยไว้ก่อน ตรวจสอบข้อมูล และจัดระเบียบความคิดเพื่อแยกแยะข้อมูลที่พิสูจน์แล้วว่าจริง กับข้อมูลที่ยังไม่แน่ชัด

พร้อมย้ำว่า ประชาชนควรสงสัยและตรวจสอบก่อนส่งต่อข้อมูล เพราะทุกครั้งที่เชื่อและแชร์ข้อมูลผิด ๆ อาจสร้างความเสียหายหรือทำร้ายผู้อื่นได้ โดยเฉพาะกรณีข้อมูลอันตราย

นอกจากนี้ภายในการอบรบยังมี กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค ประเทศไทย ที่มาส่งต่อทักษะการทำความเข้าใจบริบทและองค์ประกอบของข้อมูลบิดเบือนและขบวนการที่อยู่ เบื้องหลัง ตั้งแต่ Deepfakes เนื้อหาที่สร้างโดย AI ไปจนถึงเรื่องเล่าที่ถูกบิดเบือน และแนวทางและวิธีการตรวจสอบข้อมูลลวงหรือบิดเบือน และการริเริ่มการ ตรวจสอบข่าวลวงในห้องข่าว (เช่น Fact-Checking, Pre-Bunking)

รวมทั้ง กุณฑิกา นุตจรัส ทนายความ สำนักงาน กฎหมายและบัญชีกฤษฎางค์-นุตจรัต และเครือข่ายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่ได้มาฉายภาพรวมของกฎหมายไทยและสากลที่เกี่ยวข้องสิทธิดิจิทัลและผู้สื่อข่าว รวมถึง พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์, กฎหมายหมิ่น ประมาท, กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และจริยธรรม AI และร่วมหารือเกี่ยวกับเคล็ดลับและข้อเสนอแนะในการรายงานประเด็นที่ละเอียดอ่อนพร้อมลดความเสี่ยงทางกฎหมาย 

ระบุว่า “เมื่อคุณเป็นนักข่าวที่มีเพศสภาพเป็นผู้หญิง การทำหน้าที่สื่อ ไม่ว่าจะเพราะด้วยอะไร มักจะยากกว่าผู้ชายเสมอ” ดังนั้น การเสริมทักษะด้านกฏหมายให้นักข่าวหญิงจึงเป็นสิ่งสำคัญ

กุณฑิกา นุตจรัส สำนักงาน กฎหมายและบัญชีกฤษฎางค์-นุตจรัต และเครือข่ายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

และทิ้งท้ายจากวงหารือที่มีข้อสรุปที่น่าสนใจว่า “ปลายทางของความยุติธรรมไม่ใช่การควบคุมทุกอย่างด้วยกฎหมาย แต่คือการทำให้สังคมเข้าใจเหตุผลของผู้อื่น สามารถอยู่ร่วมกันได้ และเข้าใจปัญหาอย่างแท้จริง”

ข้อมูลจาก : ผลสำรวจพบนักข่าวหญิงเผชิญการคุกคามทางเพศกว่า 48%