Loading...

แชร์

Copied!

จากซากพาสปอร์ต สู่การรื้อพรมครั้งใหญ่ในกัมพูชา เหตุใดแรงงานเกาหลีใต้จึงปักหมุดหมายสู่ SEA ?

22 ต.ค. 6822:05 น.
จากซากพาสปอร์ต สู่การรื้อพรมครั้งใหญ่ในกัมพูชา เหตุใดแรงงานเกาหลีใต้จึงปักหมุดหมายสู่ SEA ?
ข้อความจากโพสต์ประกาศชวนทำงานผิดกฎหมายในต่างประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงว่อนอยู่บนโลกออนไลน์ของเกาหลี ดึงดูดด้วยค่าตอบแทนหลักแสนถึงหลักล้าน ทำให้แรงงานเกาหลีใต้มุ่งหน้าไปทำงานภูมิภาค SEA อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนปัญหาการว่างงานและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของประเทศเกาหลีใต้ได้เป็นอย่างดี

“กินหรู อยู่ที่พักสบาย รายได้ดี ทำงานแบบครอบครัว และไม่มีคนจีน”

ข้อความส่วนหนึ่งจากประกาศรับสมัครงานออนไลน์ที่ชักชวนชาวเกาหลีใต้ให้ไปทำงานในแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงแพร่สะพัดบนโลกโซเชียล ด้วยข้อความดึงดูดใจและรายได้สูงหลักแสนบาทต่อเดือน แม้ว่าขณะนี้กระแสข่าวกรณีนักศึกษาชาวเกาหลีใต้วัย 22 ปี “พัคมินโฮ” ที่ได้ทิ้งลมหายใจสุดท้ายในฐานะเหยื่อสแกมเมอร์ ในเมืองกำปง ประเทศกัมพูชา ยังไม่ซาลงก็ตาม

แต่น่าสนใจคือ ตามรายงานของ Hankookilbo ระบุว่า โฆษณารับสมัครงานเหล่านี้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่ต้นว่า เป็นงานผิดกฎหมาย พร้อมอ้างว่าปลอดภัย และมุ่งเป้าไปยังคนวัย 20–30 ปี ที่ต้องการเงินสดเร่งด่วน ด้วยข้อความโฆษณาที่ดูน่าดึงดูด เช่น 

“รับสมัครงานพาร์ทไทม์ Voice Phishing (งานหลอกลวงทางโทรศัพท์) 40 ล้านวอนต่อเดือน ภายใน 5 นาที หรือกว่า 9 แสนบาท” 

“เพียงทำ  Voice Phishing โดยแอบอ้างเป็นอัยการ หากทำงานหนักสามารถทำเงินได้ถึง 10 ล้านวอนต่อสัปดาห์ (2 แสนบาท)” พร้อมย้ำว่า ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์การทำงาน

ภาพจาก Hankookilbo อ้างอิงโพสต์ประกาศรับสมัครงานด้วยตำแหน่ง Telemarketing ที่พนมเปญ ประเทศกัมพูชา ระบุว่า ทำงานทุกวัน หยุดเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ค่าตอบแทนเป็นรายสัปดาห์ และมีอาหารให้ฟรีทุกวัน วันละ 2 มื้อ

จากรายงานของ Hankookilbo ชี้ให้เห็นว่า นายหน้ารับสมัครงานชาวเกาหลี 3 ราย ที่ทำงานอยู่ในไทย กัมพูชา และเวียดนาม ทั้งหมดต่างรู้แจ้งตั้งแต่ต้นว่า งานที่รับสมัครนั้น ผิดกฎหมาย 

ตัวแทนรับสมัครงานสแกมเมอร์ในกรุงเทพฯ ระบุว่า “กัมพูชามีการลักพาตัวชาวเกาหลีเพื่อเปิดบัญชีม้า แต่ประเทศไทยมีระบบความปลอดภัยสูงกว่า” พร้อมชักชวนให้เข้าทำงานร่วมกับชาวเกาหลีด้วยกัน ส่วนในเวียดนาม ตัวแทนอีกแห่งพยายามเกลี้ยกล่อมว่า “ถ้าทำงานไม่พอใจ สามารถเลิกกลางคันและกลับประเทศได้ 

ภาพจาก Hankookilbo อ้างอิงโพสต์ประกาศรับสมัครงาน ระบุว่า พนักงานเป็นคนเกาหลีทั้งหมด (ไม่มีคนจีน) มีอาหารเกาหลีให้ 3 มื้อต่อวัน (อาหารโรงแรม) รวมถึงให้เดินทางมาด้วยเงินส่วนตัวก่อน สามารถมาเบิกค่าตั๋วเครื่องบินได้ทีหลัง รูปแบบการทำงานมีความอิสระ แต่ห้ามลาออกกลางคัน

ด้วยเหตุนี้เป็นผลให้ “อี แจมยอง” ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ สั่งการเร่งด่วนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลบโฆษณาจัดหางานออนไลน์ผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทันที หลังจากเกิดเหตุปมการค้ามนุษย์และแรงงานอาชญากรรมออนไลน์ในกัมพูชา โดยมอบหมายให้คณะกรรมการสื่อ คณะกรรมการมาตรฐานการสื่อสาร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการทันที พร้อมตั้งทีมเฉพาะกิจและคณะทำงานร่วมกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Naver, Kakao และ Google เพื่อตรวจสอบเนื้อหาที่เข้าข่ายหลอกลวง

หลังจากเหตุการณ์ปมเสียชีวิตของนักศึกษาชาวเกาหลีใต้ วัย 22 ปี ในกัมพูชา ขณะเดียวกันพบผู้ใช้บัญชี X รายหนึ่งโพสต์ภาพเศษซากพาสปอร์ต พร้อมข้อความระบุเพิ่มเติมว่า “ฉันหวังว่าผู้ใช้ X ทั่วโลกจะได้เห็นโพสต์นี้ และตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์นี้” ซึ่งส่วนมากพบเป็นพาสปอร์ตของคนไทย ทำให้คนในโลกออนไลน์เป็นกังวลอย่างมากถึงความกรณีดังกล่าว ว่ามีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันหรือไม่

อัตราแรงงานเกาหลีว่างงานพุ่ง แห่ทำงานต่างประเทศ

จากกรณีเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งเป็นชนวนให้ทางการเกาหลีใต้ต้องยกระดับมาตรการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ ได้ก่อให้เกิดคำถามตามมาว่า เหตุใดจำนวนชาวเกาหลีที่หลั่งไหลไปทำงานลักษณะนี้ในกัมพูชา จึงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ตามรายงานของกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ ระบุว่า จำนวนคดีลักพาตัวชาวเกาหลีในกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเดิมเฉลี่ยปีละ 10–20 คดี ในช่วงปี 2565-2566 พุ่งเป็น 220 คดี ในปีที่ผ่านมา และสูงถึง 330 คดี ภายในเพียง 8 เดือนของปี 2568 

เสกสรร อานันทศิริเกียรติ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ สมาคมไทยคดีศึกษาแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (KATS) อธิบายว่า ปัญหานี้ส่วนหนึ่งมาจากการผลิตแรงงานในประเทศที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดงานในประเทศ ส่งผลให้อัตราการว่างงานในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น และผลักให้แรงงานบางส่วนต้องมองหางานในต่างประเทศแทน

พร้อมขยายภาพว่า หากย้อนกลับไปดูสถิติปี 2564 จะพบว่าเมืองที่มีอัตราการว่างงานของเกาหลีใต้มี 3 เมืองด้วยกัน ได้แก่ อุลซาน แทกู และอินชอน ซึ่งข้อมูลนี้สอดคล้องกับกรณีของเหยื่อแรงงานอาชญากรรมออนไลน์ชาวเกาหลีใต้ วัย 22 ปี ที่เสียชีวิตในกัมพูชา พบว่าเป็นชาวเมืองแทกูเช่นกัน

“ในระดับมหาวิทยาลัยของเกาหลีใต้ การผลิตแรงงานออกมาไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดงาน นอกจากนี้ยังมีปัญหาเกี่ยวกับผู้สูงอายุที่ตกงาน หรือคนที่อายุเกิน 40–50 ปี แต่ยังไม่มีงานทำ แม้ว่าตัวเลขอัตราการว่างงานสูงสุดจะอยู่ที่อุลซาน อินชอน และแทกู แต่โดยรวมอัตราการว่างงานของเกาหลีใต้ยังต่ำกว่า 5% ซึ่งถือว่ายังไม่สูงมาก ดังนั้นในแง่หนึ่ง คนจากสามพื้นที่นี้จึงมีความเสี่ยงสูงกว่าคนในเมืองอื่น ๆ และบังเอิญว่านักศึกษาที่เสียชีวิตเป็นชาวแทกู จึงทำให้กลุ่มนี้ดูเหมือนมีความเสี่ยงสูงในเชิงสถิติ”

สำหรับ “อุลซาน แทกู และอินชอน” หากกางรายชื่อ 3 เมืองนี้ออกมาพิจารณาอย่างละเอียดแล้วจะพบว่า อุลซานเป็นเมืองท่าที่มีบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ อย่าง Hyundai หรือ ฮุนได และอุตสาหกรรมหนักอื่น ๆ ส่วนอินชอนเป็นเมืองที่มีท่าอากาศยานหลักของประเทศ และมีงานด้านบริการจำนวนมาก แต่เหตุใดจึงยังมีอัตราการว่างงานเกิดขึ้นนั้น ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ สมาคมไทยคดีศึกษาแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ให้ความเห็นว่า

“ผมมีข้อสังเกตคือ อินชอนเป็นเมืองท่ามีทุนระหว่างประเทศเข้าไปลงทุน และอาจจะมากที่ิสุดในเกาหลี เมื่อเทียบกับเมืองหลวงอย่างโซล แต่ผมคิดว่าในทางหนึ่งก็มีชาวต่างชาติเข้าไปทำงานเยอะเช่นกัน อัตราการจ้างงานคนเกาหลีเลยน้อยตามมา”

“ส่วนฝั่งตะวันออก เช่น แทกู อุลซาน ตั้งแต่สมัยรัฐบาลปาร์ค จองฮี มีการสนับสนุนงานด้านอุตสาหกรรมหนัก 6 อย่าง ทำให้ความต้องการแรงงานเน้นไปที่ผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ตัวอย่างเช่น อุลซานเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมหนัก มีงานบริการน้อยและไม่ใช่เมืองที่ได้รับความนิยม ดังนั้นงานลักษณะอุตสาหกรรม จึงต้องการคนที่มีทักษะเฉพาะและคิดถึงระยะยาวในการจ้างงานมากกว่า”

15 กุมภาพันธ์ 2544 เมืองอุลซาน ประเทศเกาหลีใต้ ภาพโดย CHOO YOUN-KONG / AFP

ค่าตอบแทนและรีวิวดึงใจ แรงงานปักหมุดหมายสู่ SEA

อ.เสกสรร ชี้ว่า นอกจากแรงจูงใจเรื่องค่าตอบแทนจากการรับสมัครงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว โอกาสที่หลากหลายและภาพรีวิวชีวิตที่ดีบนโซเชียลมีเดีย ก็มีส่วนสำคัญในการดึงดูดคนว่างงานเกาหลีไปสมัครงานต่างประเทศ ก่อนหน้านี้ แนวโน้มส่วนใหญ่คือไปญี่ปุ่น จีน และไต้หวัน แต่ปัจจุบัน เมื่อมีนโยบายเกี่ยวกับอาเซียน ทำให้คนมองว่าโซนอาเซียนเป็นพื้นที่ปลอดภัย มีความอิสระ ยืดหยุ่น และค่าครองชีพไม่สูง จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม

“ในฝั่งอาเซียนเอง ปัจจัยที่ดึงดูดแรงงานเกาหลี ผู้คนก็ดูข้อมูลรีวิวจากคนรุ่นใหม่บนโซเชียลมีเดีย เช่น Instagram หรือ TikTok ที่แชร์ประสบการณ์ชีวิตว่าอยู่แล้วมีความสุข มีรายได้เพียงพอ ทำให้เกิดแรงจูงใจ”

“ส่วนลักษณะงานที่ดึงดูด เช่น งานแอดมินหรืองานปฏิบัติการในบริษัทเกาหลี ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถด้านภาษา หรือวุฒิการศึกษาสูง ทำให้เป็นตัวเลือกที่สะดวกกว่าการไปเอเชียใต้”

อย่างไรก็ตาม กลุ่มสแกมเมอร์ก็ใช้ช่องว่างนี้หลอกลวงผู้สมัคร บ้างก็ถูกชักชวนด้วยข้ออ้างเรื่องวีซ่า เช่น ไม่ต้องใช้วีซ่า อยู่ได้นานเกินกำหนด ซึ่งลดขั้นตอนการขออนุญาตทำงาน ทำให้คนหลงเชื่อและตกเป็นเหยื่อง่ายขึ้น

ค่าเงินวอนอ่อน-เศรษฐกิจชะงัก ดึงแรงงานเกาหลีสู่ต่างประเทศ

อีกปัจจัยสำคัญคือ เศรษฐกิจเกาหลีใต้ที่ชะงักตัว ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ค่าเงินวอนอ่อนค่า การนำเข้าสินค้าชะลอตัว ส่งผลให้ประชากรจำนวนมากตกงาน และกลายเป็นเป้าของกลุ่มสแกมเมอร์ออนไลน์หลายรูปแบบ ทั้งการหลอกทำงาน หลอกให้รัก หรือหลอกลงทุนในคริปโต โดยส่วนใหญ่เหยื่อเป็นผู้ชาย

นอกจากนี้ยังมีประเด็น ความสัมพันธ์เชิงซ้อนระหว่างเกาหลีใต้และจีน ที่ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มีรายงานว่า เครือข่ายจีนเข้ามาแทรกซึมทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และกระบวนการสแกมเมอร์ 

จึงปรากฏข้อความรับสมัครงานผิดกฎหมายเหล่านั้น ด้วยการเน้นย้ำว่า “ไม่มีคนจีนในที่ทำงาน” เป็นหนึ่งในแรงดึงดูดการสมัครงานและซื้อความสบายใจของคนเกาหลี เช่น

“ไม่มีคนจีน ทุกคนตั้งแต่ซีอีโอจนถึงพนักงานเป็นคนเกาหลี”

“สภาพแวดล้อมปลอดภัย ปราศจากความรุนแรงหรือการกักขัง”

“พนักงานมีอิสระที่จะออกจากงานและใช้โทรศัพท์มือถือส่วนตัวในเวลาทำงาน”

อย่างไรก็ดี อ.เสกสรร ให้ความคิดเห็นในประเด็นคนจีนมักถูกมองในแง่ลบ เนื่องจากมีกรณีการเข้ามาแย่งงาน ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ หรือปล่อยเช่าพื้นที่ในเกาหลี จึงเกิดความกังวลว่า อาจมีการสอดแนมหรือเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมบางประเภท ทำให้เกิดภาพด้านลบของคนจีนในมุมมองคนเกาหลี

 

ที่มา: 

  1. “인재 찾는다” 고액 알바… 5분 만에 “피싱 업무하면 월 4000만원”
  2. ‘Earn $8,900 a month’: Overseas job scams lure young Koreans into phishing crimes
  3. Lee orders crackdown on ads promoting illegal jobs in Southeast Asia