ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ก้าวข้ามจากแค่เครื่องมือเสริมในชีวิตประจำวันไปสู่การเป็น “ผู้ร่วมงาน” และ “ผู้ร่วมคิด” ที่ทรงพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกับ AI เจเนอเรชันใหม่ เช่น Generative AI ที่สามารถสร้างเนื้อหา ภาพ เสียง วิดีโอ จากไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ความสามารถที่ก้าวกระโดดนี้กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน การเรียนรู้ และแม้แต่ความเข้าใจของเราต่อความคิดสร้างสรรค์และสติปัญญาของมนุษย์
แต่ในขณะที่โอกาสทางนวัตกรรมเปิดกว้าง ความกังวลก็เพิ่มขึ้นตามมาด้วย ทั้งเรื่องความถูกต้องของข้อมูล สิทธิส่วนบุคคล การแทนที่แรงงาน ไปจนถึงผลกระทบระยะยาวที่อาจคาดไม่ถึง Thai PBS Verify พูดคุยกับ รศ. ดร.อติวงศ์ สุชาโต รองคณบดีฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อสำรวจมุมมองรอบด้านเกี่ยวกับ AI เจเนอเรชันใหม่ ทั้งข้อดี ข้อเสีย และแนวทางในการปรับตัวอย่างชาญฉลาด เพื่อให้เราอยู่ร่วมกับ AI ได้อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ในโลกอนาคตที่กำลังจะมาถึง

รศ. ดร.อติวงศ์ สุชาโต รองคณบดีฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
AI New Gen ปิดช่องว่างเติมเต็มความคิดสร้างสรรค์
สำหรับเทคโนโลยี AI ทุกวันนี้ที่เพียงแค่เราพิมพ์ข้อความ ก็จะออกมาเป็นคลิปวิดีโอที่ดูสมจริง สวยงาม มีศิลปะ รวมถึงสร้างการเคลื่อนไหวทางกายภาพได้ดีมาก ถือเป็นเครื่องมือที่เปลี่ยนโลกพอสมควร เพราะหากมองในแง่ดี โดยเฉพาะหากเปรียบเทียบกับสมัยก่อน ที่เวลาคนจะต้องผลิตวิดีโอต่าง ๆ ก็จะต้องถูกสร้างโดยคนที่เรียกว่ามีทุนระดับหนึ่ง หรือว่ามีความสามารถสูงระดับหนึ่ง ในการผลิตวิดีโอแต่ละคลิปออกมา เช่น ต้องจัดฉาก ต้องไปนำเอาของประกอบฉากจริง ๆ มาถ่ายทำ หรือว่าการสร้าง Special Effect ต่าง ๆ ก่อนที่จะนำมาตัดต่อจนได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ล้วนเป็นกระบวนการที่อาศัยความเชี่ยวชาญสูง และอาศัยต้นทุน แต่ด้วยความที่มี AI ประเภทนี้สามารถทำให้เข้าถึงมือคนในสังคมได้ง่ายขึ้น ได้กว้างขวางมากขึ้น ซึ่งหากมองในมุมนี้ ก็จะเท่ากับว่าผู้คนจะสามารถสร้างสรรค์ชิ้นงานประเภทนี้ออกมาได้ง่ายขึ้น หากเปรียบเทียบกับสมัยก่อนที่ยังไม่มี AI
เทคโนโลยี AI ในวันนี้ เรียกว่ามาปิดช่องว่างระหว่าง ความคิดสร้างสรรค์ และกระบวนการ เพราะในอดีตคนธรรมดาทั่วไป จะไม่มีความสามารถในการไปตั้งกอง เก็บฟุตเทจ หรือว่าเก็บต้นฉบับภาพ แต่ AI จะมาช่วยเติมเต็มขั้นตอนเหล่านั้น
ความเสี่ยงของ Deepfake
ขณะที่ Deepfake คือวิดีโอที่มีการปลอมเอาอัตลักษณ์ของบุคคลไปสร้างไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง หรือแม้แต่คลิปวิดีโอ ที่ทำให้บุคคลนั้นทำสิ่งที่บุคคลนั้นไม่ได้ทำ ซึ่งแล้วแต่มีวัตถุประสงค์ที่ไม่ดีต่อบุคคลนั้น แต่หากเราต้องการใช้งานก็มีสิทธิ์ใช้งานเพื่อสร้างภาพของตัวเรา ให้ได้ภาพเราสวย ๆ ใส่ชุดสวย ๆ หรืออยู่ในฉากที่เหมือนอยู่ในแมกกาซีน ซึ่งถือเป็นประโยชน์ และเปิดโอกาสให้เราสามารถสร้างสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ แต่ข้อเสียที่ตามมาก็คือ ถ้าคนที่สร้างคลิปเอาอัตลักษณ์ที่ไม่ได้รับอนุญาตมาทำ ในมุมตลกขำขัน หรือหากร้ายแรงกว่านั้น คือคนทำมีความตั้งใจไม่ดี หรือมีเจตนาต้องการปลอมแปลงเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด ก็สามารถสร้างผลกระทบได้เช่นเดียวกัน เพราะเรื่องของการปลอมแปลงรูปภาพหรือวิดีโอนั้น ไม่ใช่ว่าในอดีตจะไม่มี แต่การที่จะปลอมแปลงในสมัยก่อน อาจจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก และไม่ได้เข้าถึงคนทั่วไป แต่ปัจจุบันเทคนิค วิธีการ หรือเครื่องมือ สามารถที่จะเข้าถึงได้ทั่วไป การสร้าง Deepfake จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายขึ้น หรือเรียกว่า ไม่ต้องใช้เงินมากมาย ไม่ต้องใช้ความสามารถมากมาย เพียงแค่ให้ AI ทำให้

ภาพเปรียบเทียบผู้ประกาศในคลิป Deepfake (ซ้าย) และภาพผู้ประกาศในยูทูบไทยพีบีเอส (ขวา)
อย่างไรก็ตามความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับการรับมือมากกว่า แต่หากถามว่า เราจะเจอคลิปวิดีโอที่เป็นการ Deepfakeบ่อยขึ้นไหม ย่อมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะสังเกตได้จากปัจจุบันที่มีข่าวปลอม หรือ Deepfake สามารถเห็นได้ทั่วไป แม้บางอันสามารถดูออกได้ง่าย เพราะตั้งใจให้ดูออก แต่ที่ทุกคนควรต้องระวังก็คือ สิ่งที่ปลอมแปลงมาแล้วไม่สามารถดูออกได้อย่างง่าย ๆ เพราะผู้ที่ทำอาจจะมีความตั้งใจที่ไม่อยากให้คนดูออกเพื่อเป็นการปลอมแปลง
เทคโนโลยีที่ก้าวอย่างรวดเร็ว ยังคงสวนทางกับการป้องกัน
สำหรับการที่จะรับมือ Deepfake ในรูปแบบวิดีโอ ในปัจจุบันยังไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ ซึ่งการรับมือ Deepfake หากเริ่มจากแง่มุมของเทคโนโลยี คือเป็นการร่วมมือของผู้ผลิตหรือ Platform ปัจจุบันก็มีการใส่ลายน้ำ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Watermark ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์อยู่ในภาพ แต่พวกนี้เป็นลายน้ำที่เอาไว้สื่อสารกับคน เพื่อให้คนดูจะได้รู้ว่า นี่คือถูกสร้างมาจาก AI แต่ลายน้ำที่จะใช้ในการตรวจสอบจริง ๆ มันจะเป็นลายน้ำที่เรียกว่ามองไม่เห็น ก็คือทางเทคโนโลยี เวลาเขาสร้างก็จะมีการแอบแฝง ถ้าเป็น “รูปภาพ” อาจจะอยู่ในลักษณะของจุดพิกเซลแต่ละอัน ที่มีการใส่ข้อมูลพิเศษเข้าไป ถ้าเป็น “เสียง” อาจจะมีการอยู่ในลักษณะของสัญญาณคลื่น ที่ใส่ลักษณะเฉพาะของการสร้าง AI เข้าไป ถ้าเป็น “วิดีโอ” ก็อาจจะมีวิธีของเขา ทั้งหมดเหล่านี้เป็นฝั่งของเทคโนโลยีที่ผู้ผลิตใส่ลายน้ำเข้าไป เพื่อที่จะให้ตรวจสอบหรือเป็นการแสดงว่า คนสามารถพิสูจน์ทราบได้อย่างง่ายดาย ว่านี่คือผลงานที่สร้างจาก AI
อย่างไรก็ตามถ้าวิดีโอถูกสร้างขึ้นมาแล้วไม่มีการใส่ลายน้ำมาจากผู้ผลิต ปัจจุบันก็พอมีเทคโนโลยีที่เมื่อเปิดใช้งานตรวจสอบแล้ว สามารถที่จะบอกได้ว่า สิ่งที่สร้างมานั้นมีลักษณะหลงเหลือของสิ่งที่มาจากกระบวนการการสร้างด้วย AI หรือไม่ แต่เทคโนโลยีเหล่านี้ยังไม่สามารถพึ่งพาได้เต็มที่ ณ วันนี้ เพราะ AI มีความก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา รวมถึงมีพัฒนาการที่รวดเร็วมาก ดังนั้นแม้จะมีการทำซอฟต์แวร์สำหรับการตรวจสอบออกมาเรื่อย ๆ แต่แน่นอนว่า ในส่วนของการปลอมแปลงก็จะต้องรวดเร็วกว่า
กฎหมายควบคุมถือเป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นต้องมีอย่างยิ่ง
สังคมจำเป็นที่จะต้องมี ระเบียบ กฎหมาย หรือเบาที่สุดคือ Guideline แต่หากต้องการควบคุมก็จำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายที่บอกว่า อะไรทำได้หรืออะไรทำไม่ได้ หรือกฎหมายที่ไปกำกับดูแลคนหรือซอฟต์แวร์ ที่ใช้ในการสร้างวิดีโอปลอมเหล่านี้ ว่าจำเป็นที่จะต้องมีลายน้ำ เพราะหากใส่ลายน้ำตั้งแต่ขั้นตอนการสร้างแล้ว ปัญหาทุกอย่างที่จะตามมาในอนาคต ก็จะยุติลงในทันที
อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ตัวเรา หมายความว่า การรู้เท่าทันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะไม่มีทางที่จะสามารถเปลี่ยนโลก ไม่ให้เกิดเทคโนโลยีเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นวันนี้จำเป็นที่ทุกคนจะต้องฉุกคิดได้ รู้เท่าทัน เพื่อให้รู้ก่อนว่า ภาพที่เห็นอยู่นั้นไม่ได้แปลว่าออกมาจากกล้อง หรือจากเหตุการณ์จริงเสมอไป เพราะทุกวันนี้สามารถถูกสร้างขึ้นมาได้ และมีระดับของความสมจริงที่ไม่เท่ากัน ถึงแม้จะดูสมจริงเท่าใด หรือเป็นคนที่เรารู้จัก แต่สิ่งที่จำเป็นคือความเท่าทันของทุกคน ที่จะต้องจำเอาไว้เสมอว่า สิ่งที่เห็นเป็นจริงหรือไม่ หากเราเชื่อว่าเป็นจริงผลกระทบคืออะไร และผลกระทบหากเป็นเรื่องที่ปลอมจะเกิดอะไรขึ้น
คนจะมีบทบาทหรือไม่ในอนาคต
หากทำธุรกิจหรือประกอบอาชีพ เชื่อว่า AI เข้ามาช่วยคนในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ต้นทุนต่ำลง หรือเป็นการทำให้นำผลลัพธ์ไปสู่ผู้คนที่กว้างมากขึ้น ก็อาจจะทำให้ได้ผลงานที่บางคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ ที่ในสมัยก่อนอาจจะเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ไม่มีความสามารถพอที่จะสร้างงานได้จริง ๆ เพราะฉะนั้นเชื่อว่า โอกาสหลังจากนี้มีอีกจำนวนมาก หรืออาจจะเป็นโอกาสที่ทำให้มีการสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ขึ้นมาเพิ่มมากยิ่งขึ้น
แต่ขณะเดียวกันในแง่ของ สังคม เศรษฐกิจ ต้องอย่าลืมว่า AI สามารถผลิตสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่ของที่ผลิตออกมานั้นจะไม่มีคุณภาพ ซึ่งเห็นได้จากความล้นของตลาด ซึ่งเห็นได้จากวิดีโอที่ถูกสร้างจาก AI ที่อาจจะไม่มีสาระ หรือสร้างมาเพื่อความบันเทิง ถูกสร้างออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้เป็นโจทย์ที่อุตสาหกรรมนั้น ๆ จะต้องเข้ามารับมือ
หมายความว่า Content ที่ดีมีคุณภาพ ก็อาจจะถูกกลบไปด้วย Content ที่มีจำนวนมากแต่ไม่มีคุณภาพของ AI ก็เป็นได้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลทุกคนต้องยอมรับและปรับตัว เพราะสิ่งเหล่านี้จะมีผลกับเศรษฐกิจ ซึ่งคนอาจจะใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าใน 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งเชื่อว่าจะมีหลายสิ่งที่เกิดขึ้นที่ในวันนี้อาจนึกไม่ถึง ซึ่งหากใช้ประโยชน์และรู้เท่าทัน ก็จะทำให้อยู่กับ AI ได้อย่างปลอดภัย เท่าเทียม และมีประสิทธิภาพ