ใครหลายคนอาจเคยถ่ายรูปส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นภาพหุ่นเป๊ะ ๆ หน้ากระจก ภาพวาบหวิวที่ตั้งใจจะส่งให้หวานใจ บางก็แค่ถ่ายเก็บไว้ในมือถือของตัวเองโดยไม่คิดอะไรมาก แต่ในยุคที่โทรศัพท์มือถือเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลา แอปพลิเคชันเข้าถึงไฟล์ได้แทบทุกอย่าง และระบบ Cloud ถูกเปิดใช้อัตโนมัติโดยที่เราแทบไม่ได้ตั้งใจ คำถามคือ ข้อมูลส่วนตัวในเครื่องเรา มันถูกจัดเก็บอย่างปลอดภัยจริงหรือเปล่า ? แล้วภาพเหล่านั้นมีโอกาสหลุดออกไปโดยที่เราไม่รู้ตัว?
ว่าด้วยเรื่องข้อมูลส่วนตัว โดยเฉพาะ ภาพถ่ายส่วนตัวที่อยู่ในมือถือของเรา สามารถหลุดออกไปได้อย่างไรบ้าง Thai PBS Verify พูดคุยกับ พ.ต.อ. ณัทกฤช พรหมจันทร์ รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ให้ข้อมูลว่าทุกครั้งที่เรานำข้อมูลของเราอัปโหลดไปบนโลกที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแล้ว มีโอกาสเกิดความเสี่ยงได้ทุกอย่าง !
ภาพหลุดได้อย่างไร ?
พ.ต.อ. ณัทกฤช อธิบายให้เห็นถึงภาพในยุคที่มือถือยังไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ เช่น ยุคของมือถือรุ่นแรก ๆ ที่พอถ่ายรูปได้ แต่ยังส่งต่อผ่านอินเทอร์เน็ตไม่ได้ ภาพต่าง ๆ จะถูกเก็บไว้ในตัวเครื่องเท่านั้น แต่ความเสี่ยงก็ยังเกิดขึ้นได้ เช่น
- การนำโทรศัพท์ไปซ่อม แล้วช่างใช้สายเคเบิลดูดรูปออกจากเครื่อง
- การถอด SD Card ออกแล้วนำข้อมูลไปใช้อย่างไม่เหมาะสม
กับอีกกรณีคือยุคที่มือถือเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือของเราสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลา และนั่นหมายความว่าข้อมูลในเครื่องก็สามารถถูกอัปโหลดหรือส่งออกไปได้ตลอดเวลาเช่นกัน
เชื่อม Cloud แบบอัตโนมัติ
มือถือหลายเครื่องตั้งค่าให้เชื่อมกับ iCloud หรือ Google Photos โดยอัตโนมัติ ซึ่งหมายความว่าทันทีที่เราถ่ายภาพ มันจะถูกอัปโหลดขึ้น Cloud โดยไม่ต้องกดใด ๆ หากบัญชีของเราถูกแฮก หรือเราลืมล็อกเอาต์ออกจากอุปกรณ์อื่น เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำงาน ข้อมูลทั้งหมดก็อาจถูกเข้าถึงได้ทันที
Sextortion การแบล็กเมลทางเพศออนไลน์
นอกจากนี้การแบล็กเมลทางเพศออนไลน์ ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างน่าระวัง เพราะอาจเกิดจากผู้ไม่หวังดี หรือบุคคลที่เราส่งภาพลับให้
โดย Cyber Sextortion เป็นคำที่เกิดจากการรวมกันของคำว่า Sexual (เพศ) และ Extortion (การข่มขู่ กรรโชก) หมายถึงการข่มขู่หรือแบล็กเมลผู้เสียหายด้วยเรื่องทางเพศ โดยผู้ก่อเหตุจะหลอกล่อหรือหาวิธีได้ภาพหรือวิดีโอส่วนตัวของผู้เสียหาย
จากนั้นจะใช้ภาพเหล่านี้เป็นเครื่องมือกดดันให้ยอมทำตาม เช่น โอนเงิน ส่งภาพเพิ่มเติม หากปฏิเสธ ผู้กระทำจะข่มขู่ว่าจะเผยแพร่ภาพหรือวิดีโอเหล่านี้ต่อสาธารณะ
แอปพลิเคชันทั่วไปก็แฝงความเสี่ยง
เวลาติดตั้งแอปพลิเคชันต่าง ๆ เรามักอนุญาตให้แอปพลิเคชันมีสิทธิ์เข้าถึงรูปภาพและข้อมูลส่วนตัว โดยไม่ได้คิดมาก แต่ในความเป็นจริง แอปพลิเคชันที่บางตัวอาจมีมัลแวร์แฝงมาด้วย
“ทุกปีมักมีการประกาศจาก App Store และ Google Play Store ว่าได้ลบแอปพลิเคชันที่มีความเสี่ยงออกไปจำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เราวางใจไม่ได้ แม้แอปพลิเคชันจะถูกโหลดจากแหล่งที่ดูน่าเชื่อถือ ก็ยังมีโอกาสเจอความเสี่ยงอันตราย” พ.ต.อ.ณัทกฤช พรหมจันทร์ กล่าว
แล้วจะป้องกันได้อย่างไร ?
1. ต้องยอมรับความเสี่ยงก่อนเป็นอันดับแรก
เมื่อเรานำข้อมูลเข้าสู่โลกออนไลน์ ไม่มีทางป้องกันได้ 100% ดังนั้น การยอมรับความเสี่ยงก่อนจะถ่ายรูปหรือแชร์ข้อมูลส่วนตัวอย่างระมัดระวังเป็นสิ่งที่จำเป็น
2. ไม่ถ่ายภาพที่ไม่อยากให้หลุด
นี่คือวิธีที่ปลอดภัยที่สุด เพราะเมื่อไม่มีอยู่ในเครื่อง ก็ไม่มีอะไรให้หลุดไปได้
3. หลีกเลี่ยงการซิงก์กับ Cloud หากไม่จำเป็น
หรือปิดการซิงก์อัตโนมัติ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ใดบ้างที่สามารถเข้าถึงบัญชี Cloud ของคุณได้
4. ใช้การเข้ารหัส
หากต้องส่งภาพหรือข้อมูลสำคัญ ควรเข้ารหัสก่อนส่ง และให้ปลายทางใช้คีย์ถอดรหัส เช่น การใช้แอปฯ เข้ารหัสหรือส่งผ่านช่องทางปลอดภัย
5. อย่าให้ใครเข้าถึงเครื่องมืออุปกรณ์ของคุณโดยง่าย
ตั้งค่าความปลอดภัยรัดกุม โดยการใช้รหัส หรือการตั้งค่าเข้าเครื่องที่ปลอดภัย
การรับมือหากเป็นเหยื่อและการป้องกันการแบล็กเมลทางเพศออนไลน์
- หากถูกข่มขู่ อย่าเพิ่งทำตามที่มิจฉาชีพบังคับ เช่น การโอนเงิน หรือส่งภาพเพิ่ม หากไม่ทำตามจะเผยแพร่ภาพดังกล่าว
- เก็บหลักฐาน ข้อมูล เพื่อดำเนินการแจ้งความกับสถานีตำรวจในพื้นที่หรือตำรวจไซเบอร์
- ระมัดระวังก่อนจะส่งภาพหรือข้อมูลส่วนตัวให้คนแปลกหน้าบนโลกออนไลน์
- การเปิดกล้องวิดีโอคอลในลักษณะส่วนตัวกับคนแปลกหน้าถือว่ามีความเสี่ยง
- ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในโซเชียล ระวังเรื่องการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวที่มิจฉาชีพจะสามารถนำไปดัดแปลงหรือข่มขู่ได้