Loading...

แชร์

Copied!

เมื่อข่าวปลอมดูจริงกว่าความจริง เท่าทันสงครามข้อมูลและอัลกอริทึมในยุค AI

20 ต.ค. 6816:46 น.
เมื่อข่าวปลอมดูจริงกว่าความจริง เท่าทันสงครามข้อมูลและอัลกอริทึมในยุค AI
ข่าวสารและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถสร้าง “ความจริงจำลอง” ได้ภายในไม่กี่วินาที เส้นแบ่งระหว่าง “ข่าวจริง” กับ “ข่าวปลอม” เหตุการณ์ไวรัลอย่างกรณี “อังคณา นีละไพจิตร” ที่ถูกตัดต่อและเผยแพร่จนเกิดความเข้าใจผิด คือภาพสะท้อนของยุคที่ข้อมูลกลายเป็นอาวุธ และ “อัลกอริทึม” คือกลไกที่กำหนดว่าเราจะเห็นหรือเชื่ออะไร

ข่าวสารและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถสร้าง “ความจริงจำลอง” ได้ภายในไม่กี่วินาที เส้นแบ่งระหว่าง “ข่าวจริง” กับ “ข่าวปลอม” เหตุการณ์ไวรัลอย่างกรณี “อังคณา นีละไพจิตร” ที่ถูกตัดต่อและเผยแพร่จนเกิดความเข้าใจผิด คือภาพสะท้อนของยุคที่ข้อมูลกลายเป็นอาวุธ และ “อัลกอริทึม” คือกลไกที่กำหนดว่าเราจะเห็นหรือเชื่ออะไร

ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาของสื่อ แต่เป็นเรื่องของ “ทุกคน” ในฐานะผู้รับสาร ที่ต้องเรียนรู้จะตั้งคำถามกับข้อมูลรอบตัว รู้เท่าทันกลเกมของอารมณ์ และไม่ปล่อยให้เทคโนโลยีหรือกระแสโซเชียลพาเราไหลไปกับ “ความจริงกึ่งหนึ่ง” ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างแนบเนียน

มาเรียนรู้และปรับตัว เมื่อ “ข่าวบิดเบือน” ในยุค AI ทำงานอย่างไร อัลกอริทึมมีผลต่อความคิดและอารมณ์ของเราเพียงใด และที่สำคัญที่สุด ทำไมทุกคนในวันนี้จึงต้องเป็น “Fact Checker” ด้วยตัวเอง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางข้อมูลในโลกที่ความเท็จดูสมจริงกว่าความจริง กับ รศ. ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ คุณ ณัฐกร ปลอดดี บรรณาธิการ AFP ประจำประเทศไทย ในงานสัมมนา Trusted Media Master Class “ความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงในสื่อและ Disinformation”  

ข่าวบิดเบือน และสงครามข้อมูลในยุค AI

เคสอังคณา นีละไพจิตร” กลายเป็นไวรัลใหญ่ในโลกออนไลน์ หลังจากมีคลิปที่เธอกล่าวถึงเหตุการณ์ “F-16 ทิ้งระเบิดใส่กัมพูชา” ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวาง จนเกิดกระแสข่าวบิดเบือนและการตีความผิดไปในหลายทิศทาง เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นร้อนยิ่งกว่า “โหนกระแส” เสียอีก

ในฐานะคนทำงานข่าวและผู้สอนด้านสื่อ รศ. ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง “นักข่าว” กับ “แหล่งข่าว” มักเป็นเหมือน “คู่ตรงข้าม” ในกระบวนการทำงาน แหล่งข่าวที่พูดยาว ไม่ได้หมายถึงการเยิ่นเย้อ แต่คือการพยายามให้ข้อมูลครบถ้วน เพื่อให้เข้าใจบริบททั้งหมด แต่ว่าข้อมูลที่ซับซ้อนเหล่านี้ มักถูก “ตัดตอน” เหลือเพียงบางประโยคที่ฟังดูร้อนแรง จนกลายเป็นไวรัล และนำไปสู่ความเข้าใจผิดในวงกว้าง

ขณะเดียวกัน ระหว่างการพูดคุยเรื่องสิทธิมนุษยชน คุณวาสนา นาน่วม นักข่าวสายความมั่นคง ก็ออกมาให้ข้อมูลยืนยันจากฝ่ายทหารว่า “ไม่ได้มีการยิงใส่ประชาชน” แต่เป็นการยิงใส่ทหารกัมพูชา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า สิ่งสำคัญของงานสื่อคือ “เราหยิบส่วนไหนมาเล่า และเล่าอย่างไร

รศ. ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

รศ. ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เท่าทัน “สงครามข้อมูล” (Information War) และอัลกอริทึม

รศ. ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ในฐานะที่เคยเป็นนักข่าว และปัจจุบันทำงานด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-checking) สิ่งสำคัญที่สุดคือ ผู้รับสารต้อง “เท่าทันสงครามข้อมูลและข่าวปลอม” เพราะสงครามข้อมูลในยุคนี้ไม่ได้ต่อสู้กันด้วยเหตุผลเท่านั้น แต่เล่นกับ “อารมณ์” และ “ความรู้สึก” ของผู้คน

รศ. ดร.วิไลวรรณ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันเราจำเป็นต้องเท่าทันทั้ง “ข่าว” และ “อัลกอริทึม” เพราะอัลกอริทึมคืออภิมหาทุนในโลกดิจิทัล ที่เป็นโครงสร้างใหญ่ คอยกำหนดว่า เนื้อหาแบบใดจะถูกส่งเข้ามาหาเรา และทำให้อารมณ์ของเรากลายเป็นเครื่องมือของมันโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นวันนี้ทุกคนต้องเป็น Fact-Checkerด้วยตัวเอง เพราะหากไม่ตรวจสอบ ความเกลียดชังและความเข้าใจผิดจะขยายวงต่อไปเรื่อย ๆ

นอกจากนี้ รศ. ดร.วิไลวรรณ ระบุด้วยว่า เมื่อก่อนเราอยู่ในยุค User-Generated Content หรือยุคที่ผู้ใช้สร้างเนื้อหาเอง แต่วันนี้เราเข้าสู่ยุคของ AI-Generated Content ซึ่งซับซ้อนและน่ากลัวกว่ามาก คำถามสำคัญคือ “เราจะเท่าทันสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร” ทั้งในมิติของอารมณ์และอัลกอริทึม

รศ. ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ข่าวปลอม และ “ความจริงกึ่งหนึ่ง” ที่แพร่กระจาย

รศ. ดร.วิไลวรรณ กล่าวอีกว่า ของปลอมทุกวันนี้ “ดูจริง” มาก และสถานการณ์ข่าวปลอมมักใกล้ตัวเรา ทุกคนกำลังถูกชักนำด้วย “ข้อมูลจริงกึ่งหนึ่ง” (Half-truth) โดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีการใช้กลวิธีต่าง ๆ มากมาย ทั้งภาพจริงแต่เก่า ภาพตัดต่อ และการบิดเบือนข้อมูล

AI กลายเป็นตัวแปรสำคัญของการบิดเบือนข่าว ตอนนี้ไม่ใช่ “Fake News” แบบเดิมอีกแล้ว แต่เป็น “ความจริงกึ่งหนึ่ง” ที่มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ เช่น Deepfake

AI และอัลกอริทึมกำหนดสิ่งที่เราเห็นทั้งหมด เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของคนทำสื่อเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของ “ทุกคน” ในฐานะผู้รับสารที่มีส่วนได้ส่วนเสียในระบบนิเวศสื่อ

เข้าใจ 3 คำสำคัญของข่าวปลอม: Misinformation, Disinformation, Malinformation

ตอนนี้เราต้องรู้จักคำ 3 คำนี้ให้ดี 1. Misinformation: ข้อมูลผิดโดยไม่ตั้งใจ 2. Disinformation: ข้อมูลผิดโดยเจตนา และ 3. Malinformation: ข้อมูลจริงแต่ถูกใช้ในทางที่เป็นอันตราย

ในช่วงโควิด เราเห็นชัดว่ายอดผู้เสียชีวิตระดับหมื่น เกิดจาก Misinformation เกี่ยวกับวัคซีน แต่ไม่มีใครออกมาถอดบทเรียนนี้หลังโควิดเลย ทุกอย่างเงียบไป

และตอนนี้เราเข้าสู่ยุคของ Deepfake ที่อันตรายยิ่งกว่า เพราะมันทำให้ความจริงและความเท็จเบลอจนแยกไม่ออก

ปลูก “วัฒนธรรมของความจริง” และรู้เท่าทัน AI ข่าวปลอม และอัลกอริทึม

ดังนั้น “ทุกคนต้องเป็น Fact-Checker” ไม่ใช่แค่ตรวจข่าวปลอม แต่ต้อง “สร้างวัฒนธรรมของความจริง” และ “ปลูกภูมิคุ้มกันทางข้อมูล”

เพราะแค่บอกว่า “ข่าวนี้ปลอม” มันไม่พออีกต่อไป เราต้องให้ความรู้และทักษะ เพื่อให้คนเท่าทันด้วยตนเอง เหมือนการฉีดวัคซีนป้องกันข่าวปลอม

เราจึงต้องมีทั้ง Critical Literacy (การรู้เท่าทันเชิงวิพากษ์), Algorithm Literacy (การรู้เท่าทันอัลกอริทึม) และ  News Literacy (การรู้เท่าทันข่าว) เพราะตอนนี้ AI ทำงานแทนเราได้ แต่ยังขาด “ความคิดเชิงวิพากษ์”

นอกจากนี้ข่าวปลอมยังเล่นกับอารมณ์เหมือนโฆษณาในอดีต ดังนั้นสิ่งที่เราต้องมีคือ Critical Literacy เพื่อไม่ให้ถูกชักนำด้วยความรู้สึกในโลกสื่อที่อัลกอริทึมควบคุมทุกอย่าง เราต้องรักษา “เสรีภาพในการแสดงออก” (Freedom of Expression) ซึ่งเป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ แต่ก็ต้องรู้จัก “กำกับตัวเอง” อย่างสมดุล

ทุกคนคือผู้มีส่วนร่วมในระบบนิเวศสื่อและข่าวปลอม

รศ. ดร.วิไลวรรณ กล่าวทิ้งท้ายว่า ทุกคนในระบบนิเวศสื่อเป็น “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมกัน” ทั้งผู้ผลิตข่าว ผู้บริโภค กสทช. และองค์กรกำกับดูแล สังคมไทยยังขาดการเสริมพลัง (Empowerment) ด้านนี้มาก แต่เราทุกคนที่อยู่ตรงนี้มีบทบาทสำคัญในการสร้าง “ภูมิคุ้มกันทางข้อมูล” เพื่อให้สังคมไทยอยู่ร่วมกับข้อมูลข่าวสารอย่างปลอดภัยและเท่าทัน

ท้ายที่สุด ทุกคนต้อง “พึ่งตัวเอง” และเป็น Fact-Checker สิ่งสำคัญคือ ต้องเข้าใกล้ “ความจริง” ให้มากที่สุด ถึงจะไม่ถึงก็ยังดี เพราะข้อมูลที่ถูกต้องเท่านั้น ที่จะช่วยให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดี ลองคิดดูขนาดเราเป็นแค่คนอ่าน ยังรู้สึกเศร้าไปกับข่าวปลอม แล้วคนที่อยู่ในสถานการณ์จริงล่ะ จะรู้สึกอย่างไร นี่คือภาวะ “ไม่ปกติ” ที่กำลังถูกทำให้ดู “ปกติ

เมื่อข่าวปลอมดูจริงกว่าความจริง เท่าทันสงครามข้อมูลและอัลกอริทึมในยุค AI

Fact Checking: เรื่องใกล้ตัวในยุคข่าวปลอม

คุณ ณัฐกร ปลอดดี บรรณาธิการ AFP ประจำประเทศไทย กล่าวว่า คำว่า “Fact-Checking” อาจเป็นคำศัพท์ใหม่สำหรับหลายคน แต่ในปัจจุบัน มันกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราเจอกันทุกวัน การตรวจสอบข่าว ไม่ได้เป็นแค่หน้าที่ของสื่ออีกต่อไป เพราะทุกคนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยข้อมูล ทั้งจริงและเท็จ เราต้องใช้เวลาแยกแยะอย่างรอบคอบว่า “อะไรคือข้อเท็จจริง” และ “อะไรคือการบิดเบือน”

โดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้ง เช่น ข่าวการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา มักมีเว็บไซต์และเพจที่นำเสนอข้อมูลให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย แต่บางครั้งข้อมูลเหล่านั้นกลับเป็นเพียง “ความจริงบางส่วน” ที่แฝงด้วยเจตนาอื่น

เมื่อข่าวปลอมดูจริงกว่าความจริง เท่าทันสงครามข้อมูลและอัลกอริทึมในยุค AI

Information Disorder: เมื่อข้อมูลกลายเป็นมลพิษ

ปรากฏการณ์ Information Disorder คือภาวะที่ผู้คนไม่สามารถแยกแยะข้อมูลได้ทั้งหมด เราอาจเชื่อสิ่งที่เห็นเพียงบางส่วน จนเกิดความวุ่นวาย ความกังวล และการละเมิดความเป็นส่วนตัว ตัวอย่างเช่น ภาพน้ำท่วม “อลาสก้า” ที่แชร์กันอย่างแพร่หลาย แต่แท้จริงแล้วเป็นภาพที่สร้างด้วย AI (ปัญญาประดิษฐ์)

นี่คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า โลกดิจิทัลของเรากำลังเต็มไปด้วย “มลพิษข้อมูล” ทั้งข้อมูลที่ผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ ข้อมูลเท็จที่จงใจสร้าง และข้อมูลจริงที่ถูกนำไปใช้ในทางไม่เหมาะสม ส่งผลให้เกิดความสุดโต่งทางสังคมและลดความไว้วางใจต่อกัน

ยกตัวอย่างภาพรวมที่เห็นชัด เช่น ภาพน้ำท่วมที่อลาสก้า ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าเป็นจริง แต่เป็นภาพที่สร้างด้วย AI วิธีนี้เป็นวิธีที่รวดเร็ว ไม่ต้องใช้เงินหรือส่งนักข่าวไปตรวจสอบ ซึ่งปรากฏการณ์นี้คือ Information Disorder คือสภาพแวดล้อมดิจิทัลของเราที่ถูกปนเปื้อนด้วยมลพิษ คือข้อมูลที่แชร์โดยความเข้าใจผิด ข้อมูลเท็จที่หวังผล หรือข้อมูลจริงที่มีเจตนาแฝง ทำให้เกิดความสุดโต่งทางสังคมและมีผลต่อโลกความจริง

Echo Chamber และ Confirmation Bias

หนึ่งในปรากฏการณ์สำคัญคือ Confirmation Bias คือ การที่เรามักแชร์ข้อมูลที่ตรงกับความเชื่อของตนเอง ทำให้เกิดความสุดโต่งในสังคม และลดความไว้วางใจต่อสื่อ

อีกแนวคิดหนึ่งคือ Echo Chamber หรือ “ห้องเสียงสะท้อน” ซึ่งเกิดจากอัลกอริทึมของโซเชียลมีเดีย ที่ทำให้เราเห็นแต่ข้อมูลจากคนที่คิดเหมือนกัน ส่งผลให้มุมมองแคบลงและการถกเถียงอย่างมีเหตุผลในสังคมลดลง

พฤติกรรมการเสพข่าวของคนไทย

ผลวิจัยจาก Reuters Institute และมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ปี 2024 พบว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผู้ใช้ TikTok เพื่อติดตามข่าวสารรายวันมากที่สุดในโลก สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยยังสนใจข่าวสาร แต่รูปแบบการรับสื่อเปลี่ยนไป จากสื่อหลักสู่แพลตฟอร์มโซเชียล

ในยุคที่ข้อมูลไหลเร็วและซับซ้อน การมีทักษะรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) และสามารถ แยกแยะข้อมูลจริง-เท็จ ได้ คือเครื่องมือสำคัญของประชาชนทุกคน เพราะ “สื่อเสรีภาพ” คือฐานที่สี่ของประชาธิปไตย ซึ่งวันนี้กำลังถูกท้าทายด้วยความเร็วของข้อมูลและภัยจากข่าวปลอมในโลกออนไลน์

แนวทางรับมือกับโลกข่าวปลอม

  1. รู้เท่าทันสื่อ : เข้าใจกลไกของอัลกอริทึม ทำไมเราถึงเห็นโพสต์แบบนั้น

  2. ตรวจสอบแหล่งข่าว: ดูความน่าเชื่อถือของสื่อหรือผู้โพสต์

  3. ติดตามข่าวจากหลายแหล่ง: เพื่อลดอคติและมองเห็นมุมมองที่หลากหลาย

  4. ปรับรูปแบบสื่อให้เหมาะกับผู้บริโภคยุคใหม่: ใช้อินโฟกราฟิก เนื้อหาสั้น เข้าใจง่าย และโปร่งใสในกระบวนการตรวจสอบ