ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

วาโย-พุฒิตาจวก งบ 69 สปสช.ถังแตก งบแม่-เด็กถูกตัดยับ

การเมือง
18:10
1,189
วาโย-พุฒิตาจวก งบ 69 สปสช.ถังแตก งบแม่-เด็กถูกตัดยับ
สส.ประชาชน วาโย-พุฒิตา ชำแหละงบสาธารณสุข 69 เพิ่ม 15.18% แต่ล้มเหลวในนโยบาย "30 บาทรักษาทุกที่" ระบบส่งต่อผู้ป่วย และ การดูแลแม่-เด็ก โดยเฉพาะปัญหาเด็กพัฒนาการล่าช้า 75% งบคัดกรองถูกตัดเหลือ 1.8 ล้านบาท เรียกร้องรัฐบาลลงทุนอนาคตชาติ แทนใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย

วันนี้ (30 พ.ค.2568) การประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 เข้าสู่วันที่ 3 กลายเป็นเวทีร้อนแรงเมื่อ 2 สส.พรรคประชาชน นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง และ น.ส.พุฒิตา ชัยอนันต์ ลุกขึ้นอภิปรายวิพากษ์งบประมาณกระทรวงสาธารณสุข

แม้งบประมาณโดยรวมของประเทศเพิ่มเพียง 3.75 ล้านล้านบาท หรือ ร้อยละ 2.8 แต่กระทรวงสาธารณสุขกลับได้รับการจัดสรรเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5 และเมื่อรวมงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สูงถึงร้อยละ 27.6 คิดเป็นเงินกว่า 210,000 ล้านบาท ทว่านโยบายสำคัญหลายด้านกลับสอบตก ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน

นพ.วาโยชี้ว่า งบสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้นมหาศาลนี้ควรนำไปแก้ปัญหาการเข้าถึงบริการสุขภาพ แต่รัฐบาลกลับล้มเหลวในนโยบายเรือธง "30 บาทรักษาทุกที่" ซึ่งเปิดตัวเมื่อปี 2567 เขาตั้งคำถามว่านโยบายนี้ใช้ได้จริงหรือไม่ เพราะในเอกสารงบประมาณปี 2569 ชื่อโครงการเปลี่ยนเป็น "30 บาทรักษาทุกที่" โดยตัดคำว่า "ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว" ออก สะท้อนความไม่ชัดเจนของการดำเนินงาน

30 บาท-ระบบส่งต่อ "ยังสะดุด"

นพ.วาโย วิจารณ์ว่านโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งตั้งเป้าให้ประชาชนใช้บัตรประชาชนใบเดียวเข้ารับบริการได้ทุกหน่วยบริการ ยังไม่สามารถทำได้อย่างราบรื่น ปัญหาหลักคือระบบส่งต่อผู้ป่วย (Refer) ที่ยังไม่ไร้รอยต่อ พร้อมยกตัวอย่างประสบการณ์ส่วนตัวของครอบครัว ที่ต้องเผชิญความล่าช้าและความยุ่งยากในการส่งต่อผู้ป่วย ทำให้เห็นว่าระบบนี้ยังไม่ตอบโจทย์ประชาชน

นอกจากนี้ การนำร้านยาในกรุงเทพฯ เข้าร่วมโครงการเพื่อเพิ่มการเข้าถึงยา กลับทำให้คลินิกชุมชนอบอุ่นหลายแห่งปิดตัว และโรงพยาบาลบางแห่งถอนตัวจากระบบ เนื่องจากถูก สปสช. ค้างชำระหนี้ ส่งผลให้เป้าหมายการเข้าถึงบริการในปี 2568 ไม่ถึงเป้า และต้องลดเป้าลงในปี 2569

นโยบายการแพทย์เชิงรุกในชุมชนก็เผชิญชะตากรรมเดียวกัน เดิมตั้งเป้าบริการ 600,000 คนในปี 2568 แต่ทำได้เพียง 250,000 คน และต้องลดเป้าในปีถัดไป นพ.วาโยตั้งข้อสังเกตว่า งบลงทุนเสริมสร้างสุขภาวะ 71,000 ล้านบาท ซึ่งเฉลี่ยปีละ 15,000 ล้านบาท กลับถูกใช้ไปกับการสร้างอาคารถึง 8,000 ล้านบาท และซื้ออุปกรณ์ 4,000 ล้านบาท แทนที่จะลงทุนในบุคลากรหรือระบบบริการที่จำเป็น

สปสช.ถังแตก ? ความเปราะบางทางการเงิน

ประเด็นที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ สภาพคล่องของ สปสช. นพ.วาโยเปิดเผยว่า เงินสดต้นงวดของ สปสช. ลดลงอย่างน่าตกใจ จาก 8,500 ล้านบาทในปี 2567 เหลือเพียง 224 ล้านบาทในปี 2569 สะท้อนถึงปัญหาการเงินที่รุนแรง มีกระแสข่าวว่า สปสช. ติดหนี้โรงพยาบาลหลายแห่ง ทำให้บางโรงพยาบาลปฏิเสธรับผู้ป่วยบัตรทอง เขายังตั้งคำถามถึงเป้าหมายการกระจายแพทย์สู่ชนบทที่หายไปจากตัวชี้วัดผลงาน (KPI) ในปี 2569 แม้จะมีการตั้งเป้าลดการลาออกของแพทย์ ซึ่งถือว่ามาถูกทาง แต่ยังไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในพื้นที่ห่างไกล

นพ.วาโยยังวิจารณ์นโยบายยาเสพติด โดยเฉพาะแนวคิด "ยาบ้า 1 เม็ด" ที่อาจตีตราผู้ครอบครองเป็นผู้ค้ายา แทนที่จะมองเป็นผู้ป่วยที่ต้องการการบำบัด เขาเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนแนวทางนี้ รวมถึงการจัดสรรงบประมาณสำหรับการแพทย์แผนไทย เช่น การสร้างศูนย์การแพทย์แผนไทยที่ จ.สุโขทัย ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ รมว.สาธารณสุข และงบ 1,252 ล้านบาทในโครงการ "นับคาร์บ" รวมถึงการจัดงานอีเวนต์ที่ดูไม่จำเป็น

"แม่และเด็ก" กลุ่มเปราะบางที่ถูกละเลย

ด้าน น.ส.พุฒิตา ชัยอนันต์ สส.พรรคประชาชน อภิปรายถึงการดูแลกลุ่มแม่และเด็ก มองว่าเป็นกลุ่มเปราะบางที่รัฐบาลมองข้าม ชี้สภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบันไม่เอื้อต่อการมีลูก ครอบครัวต้องแบกรับภาระเลี้ยงดูเด็กเพียงลำพัง โดยไม่มีนโยบายรัฐที่ช่วยเหลืออย่างจริงจัง เด็กไทยกว่าร้อยละ 70 เติบโตในครอบครัวยากจน และเด็กเล็กร้อยละ 70 อยู่ในครอบครัวรายได้ต่ำ ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสุขภาพ การศึกษา และโอกาสพัฒนาการ

น.ส.พุฒิตา ยกข้อมูลที่น่าตกใจว่า เด็กไทยร้อยละ 75 มีปัญหาพัฒนาการล่าช้า ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความเหลื่อมล้ำในชีวิต และวิจารณ์ว่างบประมาณสำหรับการคัดกรองพัฒนาการเด็กถูกตัดจาก 2,300,000 บาท เหลือเพียง 1,800,000 บาท และตั้งเป้าคัดกรองเพียง 15,000 คน/ปี ซึ่งน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับปัญหาที่รุนแรง

นอกจากนี้ โครงการส่งเสริมการตั้งครรภ์และคลอดปลอดภัยของกรมอนามัย ขอไป 514 ล้านบาท แต่ได้รับเพียง 45 ล้านบาท สะท้อนว่ารัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพแม่และเด็ก

น.ส.พุฒิตายังเปิดเผยข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขว่า มีเพียงร้อยละ 5.58 ของหญิงตั้งครรภ์ ที่ฝากครรภ์ได้ตามเกณฑ์ และ 40 จาก 77 จังหวัดมีอัตราการเสียชีวิตของทารกเกินมาตรฐาน เฉลี่ยวันละ 6 คน อัตราการเสียชีวิตของมารดาก็สูงเกือบ 2 เท่าของกลุ่มประเทศ OECD สะท้อนถึงความล้มเหลวในการดูแลสุขภาพแม่และเด็กอย่างปลอดภัย เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด 600 บาท/เดือน ไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพ และเกณฑ์รายได้ครัวเรือน 100,000 บาท/ปี ทำให้ครอบครัวยากจนจำนวนมากเข้าไม่ถึงสิทธิ์นี้

น.ส.พุฒิตาเสนอให้กรมกิจการเด็กและเยาวชนยื่นขอจัดสรรงบใหม่หลังการแปรญัตติ และพรรคประชาชนพร้อมสนับสนุนงบอุดหนุนเด็กถ้วนหน้า เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับการดูแลในปี 2569 เรียกร้องให้รัฐบาลหยุดใช้จ่ายงบประมาณสุรุ่ยสุร่าย และหันมาลงทุนในกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะแม่และเด็ก ซึ่งเปรียบเสมือนการลงทุนในอนาคตของชาติ

อ่านข่าวอื่น : 

กยศ. เดือดในสภา! พริษฐ์-ปารมีซัด งบ 69 หด จุลพันธุ์ยันแก้ได้

สมศักดิ์ “ลุยไฟ” ปมวีโต้แพทยสภา

งบปลวกกินหนังสือ! ธีรัจชัยแฉ สพฐ. จ่ายพันล้านซื้อหนังสือเรียน