คลิปเสียงสนทนาระหว่าง นายกรัฐมนตรีไทย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2568 เผยให้เห็นบทสนทนาในหลายประเด็น ซึ่งกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะท่าทีของผู้นำไทยต่อปัญหาชายแดน ไทย กัมพูชา
หนึ่งในจุดที่ถูกจับตามอง คือถ้อยคำของ น.ส.แพทองธารที่กล่าวถึง "แม่ทัพภาคที่ 2" ว่าเป็น "คนฝั่งตรงข้าม" และพยายามไม่ให้สมเด็จฮุน เซน โกรธ บางช่วงยังเรียก ฮุน เซน แทนด้วยคำว่า "อังเคิล"
นายกฯ แพทองธาร ยอมรับ คลิปเสียงกล่าวเป็นของจริง โดยเป็นการพูดคุยกันแบบส่วนตัวในฐานะ "ลุง-หลาน" พร้อมอธิบายว่า การอ้างถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามเป็นเพียงเทคนิคในการเจรจาต่อรอง เพื่อคลี่คลายญหาขัดแย้งไทย-กัมพูชา และไม่ควรนำมาเปิดเผย
คลิปดังกล่าวส่งผลให้เกิดการเรียกร้องจากฝ่ายค้าน และ กลุ่มการเมืองบางส่วนให้รัฐบาลรับผิดชอบด้วยการ "ยุบสภา" หรือให้นายกฯ "ลาออก" เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนและแก้ไขวิกฤตศรัทธาทางการเมือง
ทั้งสองแนวทางนี้แตกต่างกันอย่างไร และ การยุบสภาเคยเกิดขึ้นมาแล้วกี่ครั้งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
การยุบสภาผู้แทนราษฎร มีความหมายอย่างไร
คำว่า "การยุบสภา" เป็นศัพท์ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญมิได้มีการบัญญัติบทนิยามไว้ว่ามีความหมายอย่างไร แต่ได้มีผู้ให้ความหมายไว้ดังนี้ (รัฐสภา : การยุบสภาผู้แทนราษฎร : ดุลยภาพแห่งอำนาจ ระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัต)
ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม ให้ความหมายว่า "การยุบสภา" หมายถึง การที่ประมุขของรัฐโดยคำแนะนำของฝ่ายบริหารประกาศให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สิ้นสุดลงพร้อมกันก่อนครบวาระ
อุทัย หิรัญโต ให้ความหมายว่า "การยุบสภา" คือ การกระทำโดยอำนาจของประมุขแห่งรัฐ ให้สภาพของสมาชิกสภานิติบัญญัติหรือสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงก่อนหมดอายุตามปกติที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
ข้อมูลรัฐสภา : เรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎร อธิบายว่า "การยุบสภา" คือ การที่ประมุขแห่งรัฐโดยได้รับ การแนะนำจากหัวหน้ารัฐบาลได้ประกาศให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงพร้อมกัน ก่อนถึงคราวออกตามอายุของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่
หากให้เข้าใจมากขึ้น อาจสรุปได้ว่า "การยุบสภาฯ" คือ การยุติสภาพความเป็นสมาชิกของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ทั้งหมดก่อนครบวาระ 4 ปี ผลที่ตามมาคือ สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง สส. และตำแหน่งประธานสภาฯ พ้นจากตำแหน่ง และต้องจัดการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 45-60 วัน เพื่อเลือกตั้ง สส. ชุดใหม่
การยุบสภามักเกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลเผชิญวิกฤตการเมือง เช่น ความขัดแย้งในสภาที่ไม่สามารถบริหารงานต่อได้ การสูญเสียเสียงข้างมาก หรือเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจผ่านการเลือกตั้งใหม่
กรณีนายกฯประกาศยุบสภา จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในมาตรา 103 บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องการยุบสภาไว้ว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่การเลือกตั้งทั่วไป การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา และให้กระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน ภายใน 5 วันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่งใช้บังคับ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งต้องไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับ วันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร
สถิติการยุบสภาฯ มีมาแล้ว 14 ครั้ง
การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นกลไกหนึ่งของฝ่ายบริหารในระบบรัฐสภาไทย ซึ่งแม้จะมีการแบ่งแยกอำนาจเป็น 3 ฝ่าย แต่ไม่ได้แยกอย่างเด็ดขาด เพื่อให้สามารถถ่วงดุลและควบคุมกันได้ เช่น ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถตรวจสอบฝ่ายบริหารผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในทางกลับกัน ฝ่ายบริหารก็สามารถยุบสภาเพื่อควบคุมหรือแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง
การยุบสภายังเป็นการคืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชน ด้วยการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งต้องโปร่งใสและยุติธรรม เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจว่าใครควรเป็นผู้แทนในการใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนตน
การยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2475 มีการยุบสภามาแล้ว 14 ครั้ง
ตัวอย่างการยุบสภาที่สำคัญ ได้แก่
- พ.ศ. 2519: รัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ยุบสภาเพื่อหนีญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เนื่องจากรัฐบาลมีเสียงปริ่มน้ำ
- พ.ศ. 2526 และ 2529: รัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ยุบสภาหลังไม่สามารถผลักดันร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญและพระราชกำหนดได้
- พ.ศ. 2549: รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยุบสภาหลังเผชิญการชุมนุมประท้วงจากกลุ่มที่ไม่พอใจการบริหาร
- พ.ศ. 2554 และ 2556: รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยุบสภาเพื่อแก้ไขวิกฤตการชุมนุมทางการเมือง
- พ.ศ. 2566: รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยุบสภาก่อนครบวาระเพื่อเปิดทางสู่การเลือกตั้งทั่วไป
การยุบสภาในประเทศไทยมักเกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลเผชิญกับความท้าทายที่ยากจะแก้ไขในสภา หรือเมื่อต้องการใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือคลายความตึงเครียดทางการเมือง
นายกฯ ลาออก มีความหมายว่าอย่างไร
การลาออกของนายกรัฐมนตรี คือ การที่นายกฯ ตัดสินใจยุติการดำรงตำแหน่งด้วยตนเอง โดยอาจเกิดจากเหตุผลส่วนตัว ความกดดันทางการเมือง หรือการสูญเสียความชอบธรรมในการบริหารประเทศ การลาออกของนายกฯ ไม่ส่งผลให้สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง แต่จะนำไปสู่กระบวนการสรรหานายกฯ คนใหม่โดยสภาผู้แทนราษฎร ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
การลาออกมักเป็นทางเลือกเมื่อนายกฯ เผชิญกับวิกฤตศรัทธา เช่น การแพ้โหวตในสภา หรือกรณีที่กฎหมายสำคัญของรัฐบาลไม่ผ่านสภา ซึ่งตามธรรมเนียมการเมืองในระบอบรัฐสภา นายกฯ อาจเลือกยุบสภาหรือลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ
"ยุบสภา" ต่างจาก "ลาออก" อย่างไร?
- การยุบสภาและการลาออกของนายกฯ มีความแตกต่างทั้งในแง่กระบวนการและผลกระทบ ดังนี้
ยุบสภา - ส่งผลให้สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง สส. ทุกคนพ้นจากตำแหน่ง และต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ทั้งระบบ เป็นการคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจเลือกผู้แทนใหม่
- ลาออก - มีผลเฉพาะตัวนายกฯ ที่พ้นจากตำแหน่ง สภาผู้แทนราษฎรและ สส. ยังคงอยู่ สภาจะดำเนินการเลือกนายกฯ คนใหม่โดยไม่ต้องยุบสภา
กระบวนการ ยุบสภา - ลาออก
- ยุบสภา - ต้องผ่านกระบวนการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาโดยนายกฯ และพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย เป็นการตัดสินใจของนายกฯ เพียงผู้เดียว โดยไม่ต้องปรึกษาคณะรัฐมนตรี (ครม.)
- ลาออก - เป็นการตัดสินใจส่วนตัวของนายกฯ โดยยื่นใบลาออกตามขั้นตอนที่รัฐธรรมนูญกำหนด และสภาจะเริ่มกระบวนการสรรหานายกฯ คนใหม่
วัตถุประสงค์ ยุบสภา - ลาออก
- ยุบสภา - มักใช้เพื่อแก้ไขวิกฤตการเมืองที่รุนแรง เช่น รัฐบาลสูญเสียเสถียรภาพ หรือเพื่อให้ประชาชนมีส่วนตัดสินใจผ่านการเลือกตั้งใหม่
- ลาออก - มักใช้เมื่อนายกฯ ต้องการแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาเฉพาะ เช่น การบริหารงานล้มเหลว หรือกรณีที่นายกฯ เสียความชอบธรรม แต่ไม่ต้องการให้สภาสิ้นสุดลง
ผลกระทบต่อรัฐบาล ยุบสภา - ลาออก
- ยุบสภา - คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่จะรักษาการจนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่
- ลาออก - คณะรัฐมนตรีอาจยังคงอยู่ได้หากนายกฯ คนใหม่มาจากพรรคหรือกลุ่มการเมืองเดิม โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงทั้งคณะ
การเลือกนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 ในสภาผู้แทนราษฎร
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 159 กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกเป็น สส. ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร (พรรคการเมืองนั้นต้องได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 25 คนขึ้นไป ตามมาตรา 83)
- การเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร (อย่างน้อย 50 คน เป็นผู้รับรอง)
- การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีจากผู้ได้รับการเสนอชื่อ โดยขั้นตอนการเลือกนายกรัฐมนตรีจะทำโดยเปิดเผยตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 83
- ผู้ที่ได้รับเลือกจะต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน สส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อมี สส. ทั้งหมด 493 คน ผู้ที่ได้รับเลือกต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่ 248 เสียงขึ้นไปจึงจะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี
ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562
ข้อ 83 การออกเสียงลงคะแนนเปิดเผยมีวิธีปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(1) ใช้เครื่องออกเสียงลงคะแนนตามที่ประธานกำหนด
(2) เรียกชื่อสมาชิกตามหมายเลขประจำตัวสมาชิก ให้ออกเสียงลงคะแนนเป็นรายคนตามวิธีที่ประธานกำหนด
(3) วิธีอื่นใดซึ่งที่ประชุมเห็นสมควรเฉพาะกรณี
การออกเสียงลงคะแนนตาม (1) หากเครื่องออกเสียงลงคะแนนขัดข้องให้เปลี่ยนเป็นวิธีการตามที่ประธานกำหนด
การออกเสียงลงคะแนนให้ใช้วิธีตาม (1) จะใช้วิธีตาม (2) หรือ (3) ได้ต่อเมื่อสมาชิกเสนอญัตติและที่ประชุมอนุมัติ หรือเมื่อมีการนับคะแนนเสียงใหม่ตามข้อ 85
การออกเสียงลงคะแนนตาม (2) หรือวรรคสอง ให้ประธานเชิญสมาชิกไม่น้อยกว่าหกคนเป็นผู้ตรวจนับคะแนน
*** รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
** ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 (แก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับที่ 4 พ.ศ. 2566)
อ่านข่าว : ตร.แจ้งปิดจราจร รอบทำเนียบรัฐบาล - คปท.นัดชุมนุม เรียกร้อง นายกฯ "ลาออก"
"ฮุน มาเนต" ย้ำข้อพิพาทชายแดนไม่ใช่ละครการเมือง ชาวกัมพูชาเดินขบวนหนุน
พรรคร่วม - ฝ่ายค้าน จี้นายกฯ "ลาออก- ยุบสภา" รับผิดชอบทางการเมือง
แท็กที่เกี่ยวข้อง: