ไม่ว่าจะเลือก อยู่ต่อ ยุบสภา หรือ ลาออก สิ่งหนึ่งที่ต้องติดตาม "แพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี ดังเงาตามตัว คือ คดีความที่เกิดขึ้น หลังคลิปเสียงสนทนาของ "ลุง-หลาน" ระหว่าง สมเด็จ ฮุน เซน ประธานคณะองคมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และนายกฯคนที่ 31 ของประ เทศไทย ถูกเผยแพร่เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา รวมวันนี้ (19 มิ.ย.2568)วันเดียว 4 คดีรวด
ไม่ว่าจะเป็นการเข้ายื่นคำร้องของกลุ่มนักเคลื่อนไหวหน้าเก่า ๆ เดิม ๆ และสว.ที่จัดเต็มโดยมีการยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) และการแจ้งความเอาผิดในคดีอาญา
คดีแรก นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ตรวจสอบนายกรัฐมนตรี ว่า มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) หรือไม่ และเข้าข่ายเป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามความในรัฐธรรมนูญมาตรา 170(4) หรือไม่ โดยระบุว่า กกต. มีอำนาจตรวจสอบกรณีดังกล่าวได้
- “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” ในสมรภูมิฝุ่นควัน (ข้ามแดน) การเมือง
- จุดยืน “แพทองธาร-เพื่อไทย” ยื้อยาว ปิดทาง “อนุทิน” นั่งนายกฯ
นอกจากนี้ ทั้งนี้ ได้แนบตัวอย่างข้อเท็จจริงจากข่าวมีปรากฏโดยทั่วไป มาให้ กกต. ด้วย ในประเด็น
ข้อ 2. เรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 21/2567 ไว้บางส่วน ดังนี้
"...เพราะความหมายของคําว่า "ซื่อสัตย์" และคําว่า "สุจริต" มิใช่เป็นเพียงเรื่องการกระทำทุจริต หรือประพฤติมิชอบเท่านั้น แต่ต้องเป็นการกระทำให้วิญญูชนทั่วไปที่ทราบพฤติการณ์หรือการกระทำนั้นแล้ว ยอมรับว่าเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริต จึงจะถือได้ว่า เป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์"

ข้อ 3. บทสนทนาตามคลิปเสียงที่ปรากฏนั้น อาจทำให้นายกรัฐมนตรีเข้าข่ายมีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ตามมาได้
ข้อ 4. มาตรฐานทางจริยธรรมของ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 8 และข้อ 17 กำหนดว่า
"ข้อ 8 ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เพื่อตนเอง หรือผู้อื่น หรือมีพฤติการณ์ที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ"
"ข้อ 17 ไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง"
ข้อ 5.กรณี จึงมีเหตุอันควรขอให้ กกต. ตรวจสอบข้อความในคลิปเสียงดังกล่าวว่าจะเป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) เข้าข่ายมีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป้นที่ประจักษ์ หรือไม่
ข้อ 6. ทั้งนี้ ขอให้นำคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขแดงที่ คมจ.2/2566
ที่วินิจฉัยไว้ตอนหนึ่งว่า "...จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เพื่อตนเอง ตามมาตรฐานทางจริยธรรม"
ข้อ 8 ... ทั้งการกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบกระทบต่อภาพลักษณ์และเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของผู้คัดค้านที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี... เพราะอาจทำให้สาธารณชนขาดความเชื่อถือศรัทธาต่อการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี... จึงเป็นการก่อให้ความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี... ตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 17 ..."

คดีที่ 2 พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา จะเข้ายื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้าข่ายกระทำความผิดตามกฎหมายรัฐธรรมนูญในหลายมาตรา ส่งผลต่อการดำรงตำแหน่งทางการเมือง
และเห็นว่าการตำหนิผู้นำทหารคือแม่ทัพภาค 2 ระหว่างการสนทนาว่า เป็นคนละฝ่ายกับรัฐบาล ถือเป็นการสร้างความแตกแยกในชาติและยังเป็นการกระทำที่เข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์สุจริตและละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงของผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาตรา 160 (4) และ (5) ขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง

คดีที่ 3 นายสมชาย แสวงการ อดีตวุฒิสมาชิก นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ "ทนายนกเขา" และนายคมสัน โพธิ์คง เข้าแจ้งความที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อแจ้งจับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด 3 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาญาจักร มาตรา 119 ถึง 128

คดีที่ 4 นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.เพื่อขอให้ไต่สวนและมีความเห็นกล่าวหา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ อันเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119 มาตรา 120 ประกอบมาตรา 128 อันเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักรโดยชัดแจ้ง
เนื่องจากกรณีคลิปสนทนากับ นายฮุนเซน ซึ่งเป็นศัตรูของชาติ ถือเป็นการทำลายเกียรติยศ ศักดิ์ศรี เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในแผ่นดิน
ขณะที่ ถาวร เสนเนียม นักกฎหมาย และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมาโพสต์ข้อความหนุนให้แจ้งความดำเนินคดีกับนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า
"นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของไทย อายุ 38 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโท ย่อมต้องมีจิตสำนึกในการรักษาผลประโยชน์ของชาติมากกว่าบุคคลธรรมดา ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับสมเด็จฮุนเซน ผู้นำเขมร
ในขณะที่ นางสาวแพทองธาร มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่มีสติฟั่นเฟือน

เป็นการกระทำโดยเจตนา ได้กระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ โดยประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลว่าราชอาณาจักรไทยส่วนใดส่วนหนึ่งที่เขมรอ้างว่า เป็นของเขมรถึงขนาดส่งกองกำลังทหารมายึด แต่แม่ทัพภาค 2 ของไทยได้ส่งกำลังไปตรึงเอาไว้จนเกิดการปะทะกับทหารเขมร การข่าวแจ้งว่าทหารเขมรเสียชีวิตไป 1 นาย
ต่อมาฮุนเซนได้นำเรื่องนี้ฟ้องต่อศาลโลก ในการคุยทางโทรศัพท์ นางสาวแพทองธารพูดว่า "แม่ทัพภาค 2 ของไทยเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับเรา และจะช่วยเหลือฮุนเซนทุกเรื่อง"
"ผมในฐานะประชาชนคนไทย ขอฟันธงว่า นางสาวแพทองธาร กระทำความผิดต่อประมวลกฏหมายอาญา หมวด 3 มาตรา 119 ความว่า “ ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ในอำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประทศหรือเพื่อให้ราชอาณาจักรของรัฐเสื่อมเสียไป ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต" ผมขอสนับสนุนที่ทราบว่าจะมีผู้ไปแจ้งความดำเนินคดี ให้ถึงที่สุด

คดีใหม่นี้ ยังไม่รวมกับ 2 คดีเก่าที่จ่อรออยู่ คือ คดีตั๋ว PN หรือ ตั๋วสัญญาการใช้เงิน (Promissory Note)กรณีการซื้อหุ้นของนายกรัฐมนตรี เป็นการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์และวางแผนจะเรียกชำระหนี้ตามตั๋ว P/N เต็มจำนวนในปี 2569 ซึ่ง เครือญาติของนายกฯในฐานะผู้ขายหุ้น จะรับรู้รายได้และต้องยื่นแบบแสดงเงินได้เสียภาษีในปี 2570 หากได้กำไรจากการขายหุ้น หรือ Capital Gains
และคดีการใช้งบผิดประเภท หลังจากเมื่อเร็ว ๆนี้ ป.ป.ช.รับเรื่องข้อกล่าวหาจัดทำร่าง พ.ร.บ. จัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จำนวน 3.5 หมื่นล้านบาท มาแจกในโครงการเงินดิจิทัล ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ไว้ตรวจสอบ 2 สำนวน
โดยคดีดังกล่าวมีชื่อ "แพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี และ "เศรษฐา ทวีสิน"อดีตนายกฯ คณะรัฐมนตรี สส.สว. เป็นผู้ถูกกล่าวหาทั้งคณะ หากป.ป.ช.ชี้มูลความผิด และเสนอศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาก็จะมีผลตามขั้นตอนกฎหมายทันที
ทั้งหมดนี้ ถือเป็นจรวดกฎหมายที่ไล่ตาม "นายกรัฐมนตรี"ดังเงาตามตัว ไม่ว่าจะเลือกยุบสภา ลาออก หรือยื้อเพื่ออยู่ต่อไป และอาจจะยาวไปถึงอนาคตข้างหน้า
อ่านข่าว:
เปิดไพ่ชิง "มหาดไทย" แย่งอำนาจ "ภท." ขายใบอนุญาตกาสิโน
ศึกนอกไม่จบ ศึกในรุมเร้า “มรสุม” ทักษิณ-เพื่อไทย ในคืนข้างแรม