วันนี้ (14 ก.ค.2568) นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้ากราบนมัสการสมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม ในฐานะกรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก เพื่อรับข้อเสนอแนวปฏิบัติ ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อกอบกู้วิกฤตศรัทธา
จากการหารือเบื้องต้น ให้ตำรวจที่มีหลักฐานจะดำเนินการกับพระที่ผิดวินัยสงฆ์ แจ้งให้กับสำนักงานพระพุทธฯ ศาสนาควบคู่กัน และให้กับเจ้าคณะหนแต่ละพื้นที่รับทราบ เพื่อบูรณาการร่วมกันทุกฝ่าย พร้อมทั้งร่างกฎหมาย หรือกฎระเบียบ โดยให้สำนักพุทธฯ และมหาเถรสมาคม ร่วมร่างกฎหมาย เพื่อดำเนินคดีกับพระที่ผิดวินัยสงฆ์ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ปี พ.ศ.2505 หรือกฎกระทรวง ให้เร็วที่สุด และทำอย่างไรถึงจะสามารถดำเนินคดีกับพระ และฆราวาสที่ร่วมกระทำผิด อย่างกรณีสีกา ก.ได้
นายสุชาติ ยังให้ความส่วนตัว ว่าพระชั้นผู้ใหญ่ที่ถูกพาดพิง และทำการลาสิกขาไปแล้ว ไม่ควรมีความประพฤติเช่นนี้ เพราะเป็นบุคคลที่ประชาชนให้ความเคารพนับถือ และถือศีล 277 ข้อ เมื่อบำเพ็ญศีลมานาน ไม่น่าขาดสติจนถูกหลอกเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียวจนทำให้เกิดความหวั่นไหว
สำหรับมาตรการ การควบคุมทางการเงินของและวัด สำนักพุทธฯ ได้ออกกฎกระทรวง ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายวันที่ 1 ต.ค. เงินทุกบาทจะต้องเข้าในบัญชีวัดเท่านั้น พระจะถือเงินสดได้ไม่เกิน 100,000 บาท และทุกบัญชีจะต้องฝากไว้กับธนาคารในพื้นที่นั้นๆ พร้อมทั้งในทุกเดือนจะต้องรายงานบัญชีรายรับรายจ่าย รายการยอดที่เหลือแต่ละเดือน และต้องรายงานทางการเงินประจำทุกปี ขณะนี้สำนักพุทธกำลังร่างระเบียบ บังคับให้วัดทุกแห่งปฏิบัติตาม หากฝ่าฝืนมีบทโทษตามขั้นตอน

เพื่อไทยเตรียมชงร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองพระพุทธศาสนาเข้าสภา
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการกลั่นกรองกฎหมายของพรรค ได้แจ้งเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านพระพุทธศาสนาและแนวทางดำเนินการของพรรคเพื่อไทยว่า จากปัญหาที่เกี่ยวกับการปฏิบัติของพระสงฆ์ขณะนี้ ทั้งในเรื่องการจัดการทรัพย์สินของวัดโดยไม่โปร่งใส การประพฤติผิดพระธรรมวินัยอย่างร้ายแรง การเสพเมถุนกับสีกาจนเป็นข่าวครึกโครมในขณะนี้ ตนเองได้รับมอบหมายจากพรรคให้พิจารณาดำเนินการจัดทำร่างกฎหมายเพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนาเพื่อกำหนดมาตรการในการแก้ปัญหาพระสงฆ์ประพฤติผิดวินัยร้ายแรงและหามาตรการในการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา
ในวันนี้ตนได้มอบหมายให้คณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคยกร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองพระพุทธศาสนาขึ้นมาโดยด่วน ซึ่งเรื่องดังกล่าวสอดคล้องกับแนวนโยบายแห่งรัฐ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 ที่กำหนดให้ รัฐต้องมีมาตรการและกลไกในการปกป้องมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด
ดังนั้น ในร่างกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้การกระทำบางอย่างเป็นความผิดอาญา นอกเหนือไปจากมาตรการทางวินัยสงฆ์จะมีบทกำหนดโทษอันเป็นโทษทางอาญาสำหรับผู้ที่กระทำความผิดอันเข้าข่ายเป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา ซึ่งจะมีทั้งในส่วนของการกระทำของพระสงฆ์และฆราวาสที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ ดังเช่นกรณีที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมถึงการกระทำอื่นๆ เหตุที่ต้องใช้มาตรการทางอาญาเข้ามาช่วยเพราะเห็นว่าในสถานการณ์ปัจจุบันลำพังการลงโทษตามวินัยสงฆ์ไม่เพียงพอที่จะช่วยปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาได้ จึงต้องมีมาตรการเด็ดขาด โดยจะกำหนดความผิดและกำหนดอัตราโทษก็ให้เหมาะสม โดยจะเร่งรัดดำเนินการจัดทำร่างกฎหมายฉบับนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อเสนอต่อสภา
นายชูศักดิ์ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ อันเป็นผลจากการกระทำของพระสงฆ์บางรูป ได้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อวงการพระสงฆ์ทั่วประเทศ กระทบต่อจิตใจและความรู้สึกของพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ขอให้คิดว่านั่นเป็นการกระทำส่วนบุคคล แต่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาต่างๆ ที่สอนให้ทุกคนเป็นคนดีไม่มีเปลี่ยนแปลง จึงขอให้พุทธศาสนิกชนยังคงยึดมั่นในหลักศาสนาและช่วยกันส่งเสริมและคุ้มครองพระพุทธศาสนาต่อไป
อ่านข่าว :
ลาสิกขาแล้ว อดีตเจ้าอาวาสวัดชูจิตฯ ปมเงิน 12 ล้านเอี่ยว สีกา ก.
"เจ้าคณะจังหวัดพิจิตร" ยันไม่สึก พร้อมชี้แจงความบริสุทธิ์ปมโยง สีกา ก.
มส.เร่งให้เรียกตัวพระ 5 รูปมาชี้แจง กำชับเจ้าคณะปกครองดูแลพฤติกรรมพระ