วันนี้ (3 ต.ค.2568) ความเคลื่อนไหวล่าสุดจากกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) คือการเตรียมเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมถกมาตรการคุมค่ายาและเวชภัณฑ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการดูแลค่าครองชีพ
แผนดำเนินการเรื่องราคายา คือทำ MOU กับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เพิ่มทางเลือกให้ประชาชนรับรู้ค่าใช้จ่ายราคายาก่อนจ่ายเงิน และประชาชนเลือกจะนำใบสั่งแพทย์ไปซื้อยาจากร้านค้านอกโรงพยาบาลเอกชนได้ เบื้องต้นที่ตกลงร่วมโครงการไปแล้วมี 110 แห่ง 5 เครือโรงพยาบาล จากทั้งหมด 11 เครือ ประมาณ 330 แห่ง โดยจะประชุมเพิ่มเติมในวันที่ 7 ต.ค.นี้ คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ช่วงสิ้นเดือน ต.ค.
คาดว่าร่าง MOU ที่จะหารือก่อนพิจารณาลงนามร่วมกัน 4 หน่วยงาน ได้แก่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.), กรมการค้าภายใน, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กำหนดขอบเขตความร่วมมือ 2 เรื่องคือ เกี่ยวกับการสร้างความโปร่งใสที่ต้องมีรายการยา และค่ายาใบแจ้งค่าใช้จ่าย ใบเสร็จรับเงิน และการทำความเข้าใจผู้รับบริการมีสิทธิเลือกยานอกโรงพยาบาลได้
หากพิจารณาข้อกฎหมาย นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า เรื่องนี้ปัจจุบันสามารถทำได้อยู่แล้วคือการเปิดเผยราคายาและค่าบริการ หากไม่แจ้งถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล ส่วนการไปซื้อยานอกโรงพยาบาลมีมติของคณะกรรมการสถานพยาบาลให้สามารถทำได้ แต่ พ.ร.บ.นี้ไม่สามารถควบคุมเรื่องราคายาได้ เป็นไปตามกลไกตลาดภายใต้ควบคุมดูแลของกระทรวงพาณิชย์
ก่อนหน้านี้ สมาคมโรงพยาบาลเอกชน ระบุว่า สมาคมฯ เคยทำวิจัยต้นทุนยาของโรงพยาบาล ที่นอกเหนือจากส่วนที่เป็นค่าตัวยา มีค่าเฉลี่ยต้นทุนยาแต่ละเม็ดมากกว่า 1 บาท ขึ้นกับแต่ละโรงพยาบาล บางแห่งอาจ 2-3 บาทต่อเม็ด แตกต่างกันตามขนาดโรงพยาบาลเล็ก-ใหญ่ และต้องมีอายุของยาและเวชภัณฑ์ที่ต้องเปลี่ยนหากใกล้หมดอายุ ดังนั้นจะกำหนดเป็นราคาเดียวไม่ได้
กรณีเวชภัณฑ์ ลักษณะเดียวกัน เนื่องจากทุกอย่างที่ใช้ทางการแพทย์ต้องมีการควบคุม มีวันหมดอายุ อาจจะซื้อสำลี แอลกอฮอล์ พลาสเตอร์ไว้ที่บ้านแล้วเก็บไว้ 4-5 ปี แต่โรงพยาบาลส่วนใหญ่อายุที่กำหนดจะไม่เกิน 2 ปี และเมื่อใกล้หมดอายุ 6 เดือนต้องนำไปเปลี่ยน นำไปดำเนินการ ไม่ยอมให้หมดอายุ
"ชมรมเภสัชชนบท" เสนอคุมกำไรยา ช่วยค่าครองชีพ
ภก.สุภนัย ประเสริฐสุข ประธานชมรมเภสัชชนบท นำเสนอถึงอุปสรรคการกำกับราคายา ทั้งหน่วยงานอย่างกรมการค้าภายใน และ อย.ที่ต่างมีความเชี่ยวชาญคนละด้าน การกำกับคล้ายกับเกี่ยงกัน ขณะที่ราคายาโครงสร้างซับซ้อน และกำไรจากยาเป็นรายได้หลักของโรงพยาบาล เมื่อรัฐจะควบคุม โรงพยาบาลขนาดใหญ่ก็อาจเคลื่อนไหว
ดังนั้น จึงมีข้อเสนอจากชมรมเภสัชชนบทต่อรัฐบาล 4 ประเด็นหลัก
- กรมการค้าภายในและ อย.ใช้กลไกราคากลาง โดยจัดทำบัญชียาที่จำเป็น ที่แพทย์สั่งใช้กับคนไข้จำนวนมาก แล้วกำหนดราคากลางและเพดานกำไร
- บังคับใช้ข้อกำหนดทางเลือกให้ใบสั่งยาที่ รพ.เอกชนต้องออก และให้ผู้ป่วยเลือกซื้อจากร้านยาได้อย่างจริงจัง ส่วนนี้จะทำให้เกิดการแข่งขันในตลาดโดยไม่ต้องคุมราคา
- ราคาที่ฉลาก ประชาชนตรวจสอบได้ หากโรงพยาบาลขายแพงกว่ามากต้องมีเหตุผลชี้แจง
- บังคับใช้เป็นระยะ โดยระยะที่ 1 ยาที่ใช้บ่อยที่สุด 100 รายการ, ระยะที่ 2 เวชภัณฑ์พื้นฐาน เช่น น้ำเกลือ เข็ม ผ้าก๊อซ และระยะที่ 3 ยากลุ่มโรคเรื้อรังที่มียา generic แล้ว โดยเฉพาะเบาหวาน ความดัน ไขมัน
การหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นหนึ่งในนโยบาย Quick Big Win นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. โพสต์เฟซบุ๊ก "ปั่นไปไหน - สมชัย ศรีสุทธิยากร" ว่า ความเดือดร้อนของประชาชน อาจเป็นความปกติเคยชินของผู้บริหารบ้านเมืองที่ทำงานแบบไปวัน ๆ จนรู้สึกว่าไม่ใช่ปัญหา แต่สำหรับผู้บริหารที่ทำงานแบบ problem-based สนใจใส่ใจปัญหาของประชาชน และหาทางออกโดยมุ่งแก้ปัญหาที่นอกกรอบวิธีการปฏิบัติเดิม เรื่องที่ยาก กลับดูง่ายและกลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับประชาชน
อ่านข่าว
"ศุภจี"ลดค่าครองชีพปชช.เพิ่มทางเลือกลดรายจ่ายค่ายารพ.เอกชน
กางไทม์ไลน์ "คนละครึ่ง" เริ่มใช้สิทธิเมื่อไหร่ เช็กวิธีลงทะเบียน