รบครั้งสุดท้าย ก่อนปลดเป้ วางปืน ในศึกไทย-กัมพูชา ของเหล่านายทหาร ที่เกษียณราชการไปแล้ว เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2568 ที่ผ่านมา แต่ยังฝากชื่อเป็นตำนานในนาม “บัญชาการรบ” ศึกไทย-กัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.-28 ก.ค.2568 แม้จะมีการเจรจาหยุดยิงชั่วคราวนานกว่า 2 เดือน แต่ยังหาข้อยุติไม่ได้ ขณะที่ ผบ.เหล่าทัพที่เคยทำหน้าที่ ต้องผ่องถ่ายภารกิจให้ “ขุนศึก” คนใหม่ เข้ามารับภารกิจแทนตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2568
แม้ผู้บัญชาการเหล่าทัพ หลายคนจะเกษียณอายุราชการไปแล้ว แต่นายทหารหลายนายยังคงสานภารกิจต่อ ด้วยภารกิจสำคัญที่ทำหน้าที่ปกป้องประเทศชาติ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงได้เสนอกราบบังคมทูลขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นรามาธิบดี ให้กับ 6 นายพลทหารผู้กล้า
ประกอบด้วย พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด, พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก, พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ, พลโท บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2, พลตรี สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกําลังสุรนารี, พลตรี อินทนนท์ รัตนกาฬ อดีตผู้บัญชาการกองพลรบพิเศษที่ 1 ปัจจุบันดํารงตําแหน่งรองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ได้นํากําลังปฏิบัติการสมรภูมิภูมะเขือ
โดยทหารทุกนาย ได้นําหน่วยปฏิบัติการรบด้วยความห้าวหาญ ในเหตุการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา และต้องรอพระมหากรุณาที่คุณทรงโปรดเกล้าฯ ลงมา นอกจากนี้ ยังได้ขอเหรียญกล้าหาญประดับธงชัยเฉลิมพลของบางหน่วย เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจให้กับกําลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่
พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า การปฏิบัติการในห้วงที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่กองทัพที่ 2 ยังมีกองกําลังจากกองทัพภาคที่ 1, กองทัพภาคที่ 3, หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ กําลังพลจากส่วนกลาง และกองกําลังป้องกันภัยทางอากาศ รวมถึงหน่วยอื่น ๆ ในการปฏิบัติการครั้งนั้น โดยเฉพาะในพื้นที่ด้านตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือ และหน่วยที่สําคัญอย่างมากก็คือ กองทัพอากาศ
“กําลังพลทุกเหล่าทัพ ทั้ง ทหารประจําการ, ทหารพราน, ตํารวจตระเวนชายแดน และอาสา สมัครที่เกี่ยวข้อง ทําให้ภารกิจสําเร็จปกป้องอธิปไตยได้ แต่การขอครั้งนี้ เป็นกรณีพิเศษเร่งด่วน ให้กับผู้ที่เกษียณอายุราชการ และผู้ที่ยังรับราชการ และหากหน่วยไหนเล็งเห็นว่า ยังมีกําลังพลคนใดมีความเหมาะสม ที่จะขอพระราชทานเพิ่มเติม ก็สามารถยื่นเรื่องเสนอขึ้นมาได้” พล.อ.ณัฐพล กล่าว
สำหรับ เหรียญรามาธิบดีและเหรียญกล้าหาญ คือ สัญลักษณ์แห่งเกียรติศักดิ์ประดับไว้บนอกทหารผู้พร้อมพลีชีพเพื่อชาติทุกหยดเลือดและลมหายใจคือคำสัตย์สาบานต่อแผ่นดินเกียรติยศบนโลหะ ที่ยิ่งใหญ่ดั่งภูผา คือร่องรอยแห่งความกล้าหาญที่สืบต่อไปชั่วกาลนาน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี สร้างขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระมง กุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 สำหรับบำเหน็จความดีความชอบแก่ผู้ทำความชอบพิเศษเป็นประโยชน์ยิ่งแก่ราชการทหาร ไม่ว่ายามสงบหรือยามสงคราม ไม่เพียงให้แก่ทหารไทย หากยังมอบให้ตำรวจ และบุคคลผู้ทรงเกียรติจากต่างประเทศ
ปัจจุบัน เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี แบ่งออกเป็น 6 ชั้น
1.เสนางคะบดี – ดารารูปไข่ทอง สี่แฉก มีรูปพระปศุรามาวตารปราบพญาการตวีรยะ ห้อยกับสายสะพายแพรแถบสีดำ
2.มหาโยธิน – ลักษณะใกล้เคียงชั้นเสนางคะบดี แต่ห้อยคอด้วยแพรแถบสีดำ
3.โยธิน – ดวงตราคล้องคอ ไม่มีดารา
4.อัศวิน – ดวงตราขนาดเล็ก ห้อยกับแพรแถบประดับหน้าอกซ้าย
5.เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร – รูปไข่ มีพระปศุรามาวตาร ด้านหลังเป็นอักษรย่อ “ร.ร.” และเลขหกไทย (๖) ใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ ห้อยกับแพรแถบ พร้อมเครื่องหมายพระวชิราวุธ ประดับหน้าอกซ้าย
6.เหรียญรามมาลา – เช่นเดียวกับชั้นที่ 5 แต่ไม่มีเครื่องหมายพระวชิราวุธ
วีรกรรมและความกล้าหาญที่โดดเด่นของบรรดาอดีตผู้นำเหล่าทัพและนายทหารที่ยังอยู่ในหน้าที่ภารกิจปกป้องอธิปไตยไทย
อ่านข่าว
ปธ.ศาลฎีกา ตั้ง “สุริยัณห์ หงษ์วิไล” โฆษกศาลยุติธรรมคนใหม่
เปิดใจ “รมว.ยธ” หากสังคมยังคาใจ ให้ดู “การกระทำ” หลังจากนี้
ขีดเส้นใต้ การเมืองไม่แทรกแซง DSI “ศุภชัย” ชี้ใช้นิติธรรมสืบสวน