ที่เห็นได้ชัด คือการไม่มีคำตอบจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ จากเวที เดอะ สแตนดาร์ด อีโคโนมิก ฟอรัม เมื่อวันก่อน นอกจากวลี “เพลย์ อิท บาย เอียร์” จากปากนายกฯ ที่ตอกย้ำหลายครั้ง
มีความหมายทางการเมือง คือไม่มีแผนล่วงหน้า รอดูของจริงหน้างานของจริง ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดความคาดหมาย
เพราะไม่เพียงแรงกดดันทางการเมือง จากพรรคเพื่อไทยที่ยังยึกยัก จะยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล มาตรา 151 หรือไม่ เท่านั้น
แต่ยังเกิดจากการขยับเกมรุกอย่างต่อเนื่อง จาก สส.ตัวตึงพรรคประชาชน อาทิ นายรังสิมันต์ โรม นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร และ น.ส.รักชนก ศรีนอก
ไม่เพียงประเด็น “รัฐมนตรีสายล่อฟ้า” ยังขยายต่อเนื่องถึงเรื่องเบียดบังโควตาล็อตเตอรีทหารผ่านศึก ลามถึงโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมสำทับวลีเด็ด “ใหญ่คับฟ้า” จนนายกฯ ไม่กล้าแตะ
ถือเป็นเกมรุกที่ไม่ธรรมดาของพรรคประชาชน เพราะแทนที่จะได้เห็นการเดินหน้าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหนึ่งในเอ็มโอเอที่ทำร่วมกับพรรคภูมิใจไทย
แต่กลับเปลี่ยนเป็นเรื่องสแกมเมอร์ เรื่องความเกี่ยวโยงของคนในรัฐบาลกับกลุ่มธุรกิจสีเทา สะท้อนนัยในที่ว่า พรรคสีส้ม ก็ไม่ไว้ใจพรรคสีน้ำเงิน เช่นกัน
กระทั่ง แกนนำที่เป็นตัวหลักขับเคลื่อนหลักเรื่องแก้รัฐธรรมนูญของพรรคภูมิใจไทย นายภราดร ปริศนานันทกุล ต้องเปิดประเด็นชิมลาง สภาฯ เตรียมเปิดประชุมวิสามัญ 8-10 ธ.ค.2568 เพื่อเร่งการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมวาระ 2 ให้แล้วเสร็จ ก่อนเปิดสมัยสามัญ 12 ธ.ค.2568 เพื่อให้วาระ 3 แล้วเสร็จทันก่อนสิ้นเดือน ม.ค.2569
แต่ดูเหมือนไม่ได้ทำให้ความไม่เชื่อใจลดดีกรีลง เพราะกูรูการเมืองหลายคน ต่างเห็นพ้องกันว่า ลึกๆ แล้ว พรรคภูมิใจไทย ไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญไม่ต่างจากพรรคอื่นในขั้วอนุรักษ์นิยม รวมทั้ง เรื่องหมวด 1 และหมวด 2 ที่ไม่ตรงกับพรรคค่ายสีส้มแต่แรก
จึงได้เห็นการจุดพลุใหม่ของนายภราดร เมื่อวันก่อน โดยเชื่อว่าฝ่ายค้านจะไม่ยื่นซักฟอก เพราะทุกฝ่ายอยากแก้รัฐธรรมนูญให้สำเร็จ แต่ที่คนพรรคเพื่อไทยออกมาขู่จะยื่นญัตติอภิปราย อาจเป็นแค่ความเห็นส่วนบุคคล
แต่กระนั้น ดูเหมือนจะไม่อาจหยุดยั้งท่าทีของพรรคเพื่อไทย เมื่อนายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.อาวุโส ออกมาโพสต์ข้อความ ดักคอนายกฯ ไว้ก่อน
ตั้งคำถาม นายกฯ กำลังปูทางหนีญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจใช่หรือไม่ เพราะมีอ้างเงื่อนไขการยุบสภาว่า อาจเกิดจากการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่มีลักษณะเป็นการ “แก้แค้น” มากกว่าการทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน จึงเป็นการคิดเองพูดเอง
เท่ากับพรรคภูมิใจไทย มีธงในใจอยู่แล้วว่า หากฝ่ายค้านยื่นญัตติซักฟอกมา รัฐบาลก็อาจต้องยุบสภาก่อนกรอบ 120 วัน ที่กำหนดไว้ในเอ็มโอเอ
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.และโฆษกพรรคประชาชน ระบุชัดว่า จะทำให้ “ประชามติ” ไม่เกิด ทั้งแสดงให้เห็นชัดว่า รัฐบาล จะใช้อำนาจหนีการแก้ รธน. และการตรวจสอบ จึงไม่ควรนำเรื่องแก้ รธน. เป็นตัวประกัน
เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นเรื่อง 3 เส้า 3 พรรคใหญ่ พรรคภูมิใจไทย-ประชาชน และพรรคเพื่อไทย ต่างมีเป้าหมายของตนเอง แบบ “สร้างดาวคนละดวง”
พรรคภูมิใจไทย ต้องการมุ่งหวังจะสานต่อการเป็นพรรคแกนนำตั้งรัฐบาล พรรคประชาชนก็ต้องเร่งเปิดแผลรัฐบาล เพื่อรักษาคะแนนนิยมจากผลสำรวจของโพล
ขณะที่พรรคเพื่อไทย ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเดินหน้า เรื่องญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ทั้งเพื่อเปิดแผลและสกัดการผงาดขึ้นเป็นพรรคใหญ่อันดับ 1 ของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งจะทำให้เปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมีทางการเมือง
จึงเป็นการ “สร้างดาวคนละดวง” อยู่ที่ว่า พรรคไหน จะสานฝันสร้างดาวของตนเองสำเร็จในการต่อสู้แข่งขันครั้งนี้
อ่านข่าว :
ป้อง "สายล่อฟ้า" สัมพันธ์ "อนุทิน-ธรรมนัส" เพาะมิตรไม่บ่มศัตรู