วันนี้ (8 พ.ย.2568) กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย กำลังเร่งรัดออกแพ็กเกจมาตรการช่วยเหลือและสนับสนุนการปรับตัวของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) หลังจากประเมินว่าสหรัฐฯ จะเดินหน้ากับมาตรการกีดกันทางการค้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าผลการตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐฯ จะออกมาในรูปแบบใด สถานการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจกระทบภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะ SME ที่พึ่งพาการส่งออกและห่วงโซ่อุปทานกับสหรัฐฯ
ศาลฎีกาสหรัฐฯ ได้เริ่มพิจารณาคดีสำคัญเกี่ยวกับอำนาจของ ปธน.สหรัฐฯ ในการใช้อำนาจกำหนดอัตราภาษีศุลกากรต่อประเทศคู่ค้าทั่วโลก ว่าอาจเข้าข่ายใช้อำนาจเกินขอบเขตตาม พ.ร.บ.อำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (International Emergency Economic Powers Act - IEEPA) หรือไม่
คดีนี้มีน้ำหนักจากข้อกล่าวหา ว่าการกำหนดภาษีตอบโต้ดังกล่าวอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปธน.สหรัฐฯ ได้แสดงท่าทีกดดัน โดยระบุว่าหากคำตัดสินเป็นลบ อาจส่งผลให้สหรัฐฯ ต้องคืนเงินภาษีตอบโต้ไม่น้อยกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.3 ล้านล้านบาท ซึ่งจะสร้างความวุ่นวายในระบบการค้าทั่วโลก ขณะที่ผู้พิพากษาในศาลฎีกาได้ตั้งข้อสังเกตว่าอำนาจดังกล่าวควรเป็นของสภาคองเกรส ไม่ใช่ของฝ่ายบริหาร เพื่อรักษาสมดุลอำนาจตามรัฐธรรมนูญ
ในส่วนของไทย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ กล่าวว่า ทีมไทยแลนด์ยังคงเดินหน้าเจรจารายละเอียดเพื่อเปิดตลาดสินค้าและบริการจากสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง หลังจากประเมินว่าสหรัฐฯ ยังคงยึดมั่นในมาตรการกีดกันการค้า และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่อาจลุกลามจากปัจจัยนี้ โดยจะมุ่งสนับสนุนให้ธุรกิจปรับตัว เพื่อลดผลกระทบให้เหลือน้อยที่สุด ทั้งนี้ คลังเตรียมเสนอ คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (กนก.) พิจารณาแพ็กเกจช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ในวันจันทร์ที่ 10 พ.ย.2568
แพ็กเกจดังกล่าวครอบคลุมมาตรการหลากหลายเพื่อกระตุ้นและปกป้อง SME โดยเฉพาะมาตรการภาษีที่ให้ธุรกิจขนาดใหญ่ใช้สิทธิลดหย่อนรายจ่ายจากคำสั่งซื้อสินค้าหรือบริการจากธุรกิจขนาดเล็ก หรือที่เรียกว่า "พี่ช่วยน้อง" เพื่อส่งเสริมห่วงโซ่คุณค่าในประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากโรงงานต่างประเทศที่ขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เพื่อลดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการไทย ตลอดจนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือซอฟต์โลน เพื่อสนับสนุนให้ SME ปรับตัวรับมือกับการแข่งขันทางการค้าที่รุนแรงขึ้น เช่น การอัปเกรดเทคโนโลยีหรือขยายตลาดใหม่
ด้านธนาคารแห่งประเทศไทย นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า แบงก์ชาติมีแนวคิดใช้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) เป็นเครื่องมือค้ำประกันสินเชื่อสำหรับกลุ่มเป้าหมาย 5 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ เกษตรและอาหาร ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และสุขภาพการแพทย์ เพื่อสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจท่ามกลางสงครามการค้า โดยคาดว่าจะช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินให้ SME ในอุตสาหกรรมที่เสี่ยงสูงจากภาษีนำเข้า
นอกจากนี้ ธปท. ยังอยู่ระหว่างหารือกับหอการค้าแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อขยายความช่วยเหลือไปยังอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงครามการค้า เช่น กลุ่มค้าปลีกที่อาจเผชิญการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ
อ่านข่าวอื่น :
"อบจ.ชัยนาท" แซงชนะ "หมอนทอง" 2-1 ประตู คว้าแชมป์ ฟุตบอลนักเรียน 7 คน กีฬา 7HD 2025
ซ้ำเติมฟิลิปปินส์! "ไต้ฝุ่นฟุงหว่อง" เตรียมขึ้นฝั่งหลัง "คัลแมกี" ถล่ม











