วันนี้ (16 พ.ย.2568) คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีมติปลดล็อกเวลาขายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 14.00-17.00 น. ซึ่งเป็นมาตรการที่คาดว่าจะช่วยเหลือผู้ประกอบการ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่าจะทำให้เงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจ 1,000-3,000 ล้านบาทในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2568 และกว่า 10,000-20,000 ล้านบาท/ปี โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว สถานบันเทิง และธุรกิจกลางคืน รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อย เช่น วิสาหกิจชุมชนเกษตรปลอดภัยสูง อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งมีสมาชิกเกษตรกรกว่า 90 ครัวเรือน ที่ผลิตไวน์เมลอนเป็นรายได้หลัก แต่เคยเสียโอกาสขายในช่วงเวลาดังกล่าว แม้จ่ายค่าเช่าบูธเต็มราคา
อย่างไรก็ตาม มุมมองทางสังคมยังคงมีความกังวล โดยเฉพาะความเสี่ยงอุบัติเหตุและผลกระทบด้านสุขภาพ จากการสำรวจของศูนย์วิจัยปัญหาสุรา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในกลุ่มตัวอย่างประชาชนไทยจาก 12 จังหวัดกว่า 4,000 คน พบว่าร้อยละ 82.8 เห็นด้วยกับการคงมาตรการจำกัดเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามกฎหมายเดิม ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า ช่วง 14.00-17.00 น. เป็นช่วงที่มีอัตราอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงสุดในวัน และตรงกับเวลาที่นักเรียน นักศึกษา และพนักงานเดินทางกลับบ้าน
นอกจากนี้ การศึกษานโยบายโซนนิ่งขยายเวลาเปิดสถานบริการถึง 04.00 น. ใน 5 พื้นที่นำร่อง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ และเกาะสมุย พบว่าอัตราการเสียชีวิตช่วง 02.00 - 06.00 น. เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4 จากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก คดีเมาแล้วขับเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า หรือร้อยละ 117
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ระบุว่ายังไม่เห็นมาตรการชัดเจนจากรัฐ เช่น การจัดโซนนิ่งพื้นที่นำร่องก่อน หากปลดล็อกพร้อมกันทั่วประเทศ อาจนำไปสู่อุบัติเหตุเพิ่มขึ้นมหาศาล แม้กฎหมายนี้จะควบคุมเฉพาะผู้ประกอบการที่ทำตามกฎ แต่ร้านค้าขนาดเล็กยังลักลอบขาย และผู้บริโภคยังดื่มในที่ลับตาอยู่ดี
มติดังกล่าวมีที่มาจากประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 เมื่อวันที่ 15 พ.ย.2515 ในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะปฏิวัติ ซึ่งกำหนดห้ามขายและดื่มสุราในช่วงเวลานั้น เพื่อแก้ปัญหาข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐดื่มในเวลาทำการ
หลังจากนี้ คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะประเมินผลมาตรการอีก 6 เดือน โดยให้คณะกรรมการระดับจังหวัดศึกษาผลกระทบทั้งด้านสุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ ทั้งผลดีและผลเสีย เสนอรายงานกลับส่วนกลาง เพื่อพิจารณามาตรการระยะยาวต่อไป
อ่านข่าวอื่น :











