วันนี้ (3 ธ.ค.2568) เอเชียกำลังเผชิญกับวิกฤตภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ จากการรวมตัวของพายุและฝนมรสุมที่ถล่มไม่ขาดสาย สร้างน้ำท่วม ดินถล่ม และความเสียหายทางเศรษฐกิจจำนวนมหาศาล ตามรายงานจากสำนักข่าว CNN ที่รวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานป้องกันภัยพิบัติของแต่ละประเทศ ขณะนี้พบว่ามีผู้เสียชีวิตแล้ว 1,399 คน ผู้สูญหายอีกหลายร้อยราย และผู้ประสบภัยกว่า 1,000,000 คน ต้องอพยพจากที่อยู่อาศัยเดิม ชาวบ้านในพื้นที่ประสบภัยหลายแห่งเปรียบเหตุการณ์นี้ว่า "คล้ายสึนามิ" ที่พัดพาเอาทุกอย่างไปในพริบตา
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีในเมืองหาดใหญ่ จ.สงขลา ประเทศไทย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและการค้าสำคัญของภาคใต้ น้ำท่วมสูงถึง 3 เมตร ไหลทะลักเข้าสู่ถนนหนทาง ทำให้ชุมชนหลายร้อยแห่งถูกตัดขาดจากโลกภายนอก "วาสนา สุธี" เจ้าของบ้านพักคนชราที่หาดใหญ่ เล่าให้ผู้สื่อข่าว CNN ว่าเธอและสามีต้องดิ้นรนอย่างหนักตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อดูแลผู้ป่วย 10 คนและเจ้าหน้าที่อีก 10 คน ท่ามกลางน้ำที่ท่วมถึงชั้นล่างของอาคาร
ฝนตกหนักจนออกจากบ้านไม่ได้ ต้องย้ายผู้ป่วยที่ติดเตียงขึ้นชั้นบนอย่างเร่งด่วน จากนั้นไฟฟ้าก็ดับ เราต้องใช้แบตเตอรี่ที่เหลืออยู่น้อยนิดกับเครื่องผลิตออกซิเจน
การติดต่อกับภายนอกทำได้เพียงผ่านเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพไทย ที่ทิ้งเสบียงอาหารลงบนหลังคาเท่านั้น หลังน้ำลดลงในช่วงสุดสัปดาห์ ถนนล้วนเปื้อนโคลนและเศษซาก
ภาพคนยืนเข้าแถวขออาหาร บ้างค้นหาญาติที่หายไป รถยนต์ถูกทิ้งเกลื่อนกลาด มันเหมือนฉากในภาพยนตร์วันสิ้นโลก วาสนาเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย เธอและทีมงานเร่งทำความสะอาด แต่ความกังวลหลักคืออาหารเหลวสำหรับผู้ป่วยที่ต้องให้ทางจมูก ซึ่งขาดแคลนอย่างหนักในพื้นที่
เซนยาร์-ดิตวาห์ คร่าชีวิตนับพัน เอเชียเผชิญวิกฤตน้ำท่วม
ข้ามไปยังอินโดนีเซีย ที่เกาะสุมาตราได้รับผลกระทบหนักจากพายุเซนยาร์ที่พัดถล่มอย่างรุนแรง สร้างดินถล่มและน้ำท่วมในพื้นที่ป่าดงดิบที่มีภูเขาไฟ และประชากรอุรังอุตังที่ใกล้สูญพันธุ์ ทางการปรับยอดผู้เสียชีวิตเหลือ 744 คน จากการตรวจสอบเพิ่มเติมตามรายงานของ Reuters แต่ความเสียหายยังคงมหาศาล โดยเฉพาะต่อระบบนิเวศและเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาการท่องเที่ยวและเกษตรกรรม
ทางด้านตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย ศรีลังกากลับกำลังดิ้นรนกับพายุดิตวาห์ ซึ่งนำพาฝนตกหนักสุดในรอบ 10 ปี สร้างน้ำท่วมรุนแรงทั่วเกาะที่ขึ้นชื่อเรื่องชายหาดสวยงามและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งสูงถึง 465 คน และผู้สูญหาย 366 คน ตามข้อมูลจากศูนย์จัดการภัยพิบัติแห่งชาติของศรีลังกา
ทหารเรือและเฮลิคอปเตอร์จากอินเดียซึ่งเป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิด ได้รับมอบหมายให้ช่วยเหลือการค้นหาและแจกจ่ายเสบียงมนุษยธรรม กระทรวงการต่างประเทศของอินเดียระบุว่า กองทัพอากาศได้ช่วยเหลือพลเมืองจากหลายชาติ รวมถึงศรีลังกา อินเดีย เยอรมนี สโลวีเนีย สหราชอาณาจักร แอฟริกาใต้ โปแลนด์ เบลารุส อิหร่าน ออสเตรเลีย ปากีสถาน และบังกลาเทศ
ที่น่าสนใจคือ แม้จะเป็นคู่ปรับทางการเมือง อินเดียและปากีสถานกลับร่วมมือกัน โดยปากีสถานส่งทีมทหารจากหน่วยจัดการภัยพิบัติแห่งชาติไปช่วยเหลือที่ศรีลังกา ซึ่งสะท้อนถึงจิตวิญญาณมนุษยธรรมที่ก้าวข้ามความขัดแย้ง
การวิเคราะห์เชิงลึกเผยให้เห็นว่าภัยพิบัติครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นสัญญาณเตือนจากภาวะโลกร้อนที่ทำให้รูปแบบสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง พายุไซโคลนเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิทะเลสูงขึ้น ส่งผลให้ฝนตกหนักผิดปกติ ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ชี้ว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เสี่ยงสูงสุด เนื่องจากประชากรหนาแน่น ชายฝั่งยาว และระบบเตือนภัยที่ยังไม่สมบูรณ์ ในไทยและอินโดนีเซีย การขาดโครงสร้างพื้นฐานกันน้ำท่วม เช่น เขื่อนและระบบระบายน้ำ ทำให้ความเสียหายทวีคูณ
เศรษฐกิจได้รับผลกระทบรุนแรงเช่นกัน หาดใหญ่ซึ่งเป็นฮับการค้าของไทย เสียหายมูลค่าหลายพันล้านบาท ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่ศรีลังกา ซึ่งพึ่งพาการท่องเที่ยว อาจสูญเสียรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ หากนักท่องเที่ยวเลี่ยงเดินทาง ด้านสิ่งแวดล้อม อุรังอุตังในสุมาตราเสี่ยงสูญพันธุ์เพิ่ม เนื่องจากที่อยู่อาศัยถูกทำลาย
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีแสงสว่างจากความร่วมมือระหว่างประเทศ เพราะอินเดียและปากีสถานที่ร่วมมือกันในสถานการณ์นี้ เป็นตัวอย่างของ "Diplomacy of disaster" ที่ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ ท่ามกลางวิกฤต หน่วยงานระหว่างประเทศอย่างสหประชาชาติ (UN) กำลังเร่งสนับสนุนงบประมาณฟื้นฟู โดยคาดว่าต้องใช้เงินกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สำหรับทั้งภูมิภาค
ในอนาคต ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้รัฐบาลเร่งลงทุนในระบบเตือนภัยดิจิทัล การสร้างเขื่อนกันน้ำท่วม และการศึกษาวิจัยสภาพอากาศ ขณะที่ชุมชนท้องถิ่นต้องฝึกทักษะเอาตัวรอด วาสนา สุธี จากหาดใหญ่ สรุปความรู้สึกของชาวบ้านหลายล้านคนว่า
ปีนี้รุนแรงกว่าที่เคย แต่เราต้องเรียนรู้เพื่อฤดูฝนในรอบหน้า หากไม่ปรับตัวอาจเผชิญ "สึนามิ" ที่ใหญ่กว่านี้อีก
อ่านข่าวอื่น :
ฟื้นชีวิตคนจนเมืองหาดใหญ่ หลัง "มหาอุทกภัยภาคใต้"
อินโดนีเซียยอดเสียชีวิตเหตุน้ำท่วม-ดินถล่ม เพิ่มเป็น 744 คน











