Abdul Ghani ชาวอินโดนีเซียในจังหวัดเวสต์ สุมาตรา วัย 57 ปี ถือรูปภรรยาที่หายตัวไปหลังเกิดภัยพิบัติน้ำท่วม ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะได้พบกับภรรยาอีกครั้ง เขาร้องไห้ระหว่างให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว โดยเล่าว่าเขาอาศัยอยู่กับภรรยาแค่ 2 คน แม้ไม่คิดว่าภรรยาจะมีชีวิตอยู่แล้ว แต่หวังว่าจะได้พบร่างของเธอ แม้จะเป็นเพียงชิ้นส่วนมือก็ตาม
ย้อนกลับไปช่วงบ่ายวันที่ 28 พ.ย.2568 Abdul Ghani ออกไปทำงานในช่วงที่ฝนเริ่มตกหนักขึ้น เมื่อกลับมาถึงก็พบว่าบ้านถูกน้ำพัดหายไปแล้ว โดยเริ่มออกตามหาภรรยาทันที และพกรูปเธอไปทุกที่ เพื่อสอบถามเจ้าหน้าที่กู้ภัย ชาวบ้าน รวมถึงตำรวจ
ยอดเสียชีวิตน้ำท่วม-ดินถล่มในอินโดนีเซีย เพิ่มเป็น 744 คน
เปอร์นานดี อีกหนึ่งในผู้ประสบภัยในจังหวัดเดียวกัน นำสื่อดูพื้นที่ที่เคยเป็นที่ตั้งบ้านพักของเขา แต่ปัจจุบันกลายสภาพเป็นพื้นที่ว่างเปล่ากับซากความเสียหายที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด เขาเล่าว่าน้ำมาเร็วและแรงมาก จนตัวเขาถูกพัดออกจากบ้าน ก่อนที่บ้านจะพังลงมาและหายไปต่อหน้าต่อตา ขณะที่ตัวเขาต้องไปเกาะต้นไม้เอาชีวิตรอดนานกว่า 3 ชั่วโมง ก่อนที่น้ำจะลดระดับลง
ปัจจุบันยังคงมีชาวอินโดนีเซียไร้ที่อยู่อาศัยกว่า 1,200,000 คน ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมและดินถล่มเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างน้อย 744 คน สูญหาย 504 คน
เจ้าหน้าที่อินโดนีเซีย ยังคงเดินหน้าค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งภารกิจยังคงเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากถนนหลายสายถูกตัดขาด เช่นเดียวกับสะพานหลายแห่งที่ฟังเสียหายใช้งานไม่ได้
ทางการอินโดนีเซีย ระดมจัดส่งเสบียงเข้าไปในพื้นที่ประสบภัยเป็นการเร่งด่วน หลังมีรายงานว่าหลายพื้นที่เริ่มขาดแคลนข้าว ผักและสินค้าจำเป็นอื่น ๆ เสี่ยงเผชิญกับภาวะอาหารขาดแคลน ขณะที่ราคาสินค้าต่าง ๆ กำลังพุ่งสูงขึ้น หลังผู้มีกำลังซื้อเร่งกักตุนสิ่งของจำเป็น เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลอินโดนีเซียเปิดเผยว่าได้จัดส่งข้าวสาร 34,000 ตันและน้ำมันปรุงอาหาร 6.8 ล้านลิตรไปยังจังหวัดอาเจะห์ นอร์ท สุมาตรา และเวสต์ สุมาตราด้วย
ผู้เชี่ยวชาญ ชี้ตัดไม้ทำลายป่า ทำน้ำท่วมอินโดฯ รุนแรงขึ้น
Tommy Adam นักสิ่งแวดล้อมชาวอินโดนีเซีย ระบุว่า ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นไม่ใช่ภัยพิบัติทางธรรมชาติ แต่เป็นภัยพิบัติทางนิเวศวิทยาที่เกิดจากการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ผิดพลาดของรัฐบาล
การตัดไม้ทำลายป่าและการขุดเจาะทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นวงกว้าง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงบนเกาะสุมาตรา หลังจากพายุเขตร้อนทำให้ฝนตกหนักตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว เขาระบุด้วยว่าด้วยปริมาณน้ำฝนที่สูงในปัจจุบัน แต่ป่าไม้ซึ่งควรทำหน้าที่เป็นฟองน้ำขนาดยักษ์ดูดซับน้ำหยุดทำหน้าที่ ส่งผลให้ท่อนไม้ถูกพัดพาไปจนถึงปากแม่น้ำ
อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์มาอย่างยาวนานเกี่ยวกับปัญหาการทำลายป่า แม้รัฐบาลจะพยายามฟื้นฟูพื้นที่ที่ถูกทำลายไปบ้าง แต่ประเทศยังคงต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ข้อมูลจาก Global Forest Watch ระบุว่า ระหว่างปี 2544-2567 เฉพาะจังหวัดนอร์ท สุมาตรา สูญเสียพื้นที่ป่าไปถึง 1.6 ล้านเฮกตาร์ หรือประมาณ 10 ล้านไร่ ซึ่งเทียบเท่ากับร้อยละ 28 ของพื้นที่ป่าในปี 2543 และเมื่อรวมทั้งเกาะสุมาตรา ตัวเลขความเสียหายก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
มีรายงานว่าปัจจุบันเกาะสุมาตรามีป่าปกคลุมอยู่ร้อยละ 25 ของพื้นที่ หรือคิดเป็นพื้นที่ป่าไม้ที่เหลืออยู่ 11.7 ล้านเฮกตาร์ หรือกว่า 73 ล้านไร่ ขณะที่สื่อท้องถิ่นระบุว่ารัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอินโดนีเซียจะเรียกสอบบริษัท 8 แห่งที่ดำเนินกิจการในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม หลังพบท่อนไม้จำนวนมากผิดปกติถูกพัดมาตามกระแสน้ำ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ฝนจะพัดพาไม้มามากขนาดนี้
ข้อมูลจากสำนักจัดการภัยพิบัติแห่งชาติอินโดนีเซีย ชี้ว่าในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา อินโดนีเซียเผชิญกับภัยพิบัติหลายรูปแบบรวมมากกว่า 2,900 เหตุการณ์กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ประสบภัยในขณะนี้อย่างเกาะสุมาตรา รวมถึงเกาะชวา ซึ่งจะเห็นเป็นสีแดงหลายพื้นที่ ขณะที่กาลิมันตันเพิ่งเผชิญเหตุดินถล่มไปเมื่อ 1-2 เดือนที่แล้ว
หากแบ่งข้อมูลภัยพิบัติแยกย่อยลงมา จะเห็นว่าน้ำท่วมเกิดบ่อยที่สุด คิดเป็นกว่าครึ่งหนึ่งของภัยพิบัติทั้งหมดที่อินโดนีเซียพบในปีนี้ ตามมาด้วยปัญหาอากาศสุดขั้ว ไฟป่า ดินถล่ม ภัยแล้งและแผ่นดินไหว
นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังพบภัยอื่น ๆ เช่น ภูเขาไฟปะทุและสึนามิ โดยภัยพิบัติทั้งหมดทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมกัน 1,100 คน และมีผู้ได้รับผลกระทบอีกนับ 10 ล้านคน
สำหรับอินโดนีเซีย ถือเป็นประเทศที่อยู่บนจุดเสี่ยงติดอันดับต้น ๆ ของโลก เนื่องจากสถานที่ตั้งที่อยู่บนแนววงแหวนแห่งไฟ ทำให้เสี่ยงเกิดทั้งแผ่นดินไหว ภูเขาไฟปะทุ และสึนามิ รวมทั้งยังมีพื้นที่ชายฝั่งเป็นจำนวนมาก มีเกาะเล็กเกาะน้อย และยังเสี่ยงเผชิญกับพายุพัดถล่ม แต่อินโดนีเซียไม่ใช่จุดที่เสี่ยงที่สุดในโลก
กางจุดเสี่ยงภัยพิบัติโลก
รายงาน World Risk Report ฉบับล่าสุดปี 2568 ชี้ว่า เอเชียและสหรัฐอเมริกา ยังเป็นภูมิภาคที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับภัยพิบัติ รายงานฉบับนี้คิดคะแนนความเสี่ยงโดยประเมินจากโอกาสที่ประเทศนั้น ๆ พบกับภัยพิบัติ ระดับความรุนแรงของภัยพิบัติ ไปจนถึงความอ่อนไหวในหลายมิติ เช่น เศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งยังดูเรื่องขีดความสามารถในการรับมือและปรับตัวผ่านการทำงานของภาครัฐและภาคประชาสังคมต่าง ๆ
ปีนี้ฟิลิปปินส์ยังคงอยู่อันดับสูงสุดที่พบจุดเสี่ยงภัยพิบัติสูงสุดของโลก พบไต้ฝุ่นประมาณ 20 ลูกในแต่ละปี และยังเสี่ยงเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟปะทุ ขณะที่อินเดียขยับขึ้นเป็นอันดับที่ 2 และอินโดนีเซียอันดับ 3 ของโลก
ภาพรวมทั้งโลกจะเห็นว่าในพื้นที่เสี่ยง 10 อันดับแรกของโลก เป็นประเทศในเอเชียมากถึง 6 ประเทศ ในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งอยู่ในภูมิภาคอาเซียน ทั้งฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเมียนมา
นอกจาก 3 ประเทศแล้ว เวียดนามอยู่ในอันดับที่ 13 ตามมาด้วยไทยอันดับที่ 24 มาเลเซีย 37 ส่วนที่เสี่ยงน้อยที่สุดในอาเซียน คือ สิงคโปร์ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 188 จากทั้งหมด 193 ประเทศทั่วโลก โดยเหตุผลหลักมาจากการที่สิงคโปร์ลงทุนกับเรื่องการรับมือและป้องกันภัยพิบัติ มีการให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชน อีกทั้งยังมีโอกาสพบภัยธรรมชาติต่าง ๆ น้อยกว่าประเทศอื่น ๆ
อ่านข่าว : "ศรีลังกา" น้ำท่วมยังไม่คลี่คลาย ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 410 คน
ฮ่องกงไว้อาลัยเหตุเพลิงไหม้อาคารที่พักอาศัย เสียชีวิตเพิ่มเป็น 146 คน
แท็กที่เกี่ยวข้อง:











