ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

รัฐกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านคนละครึ่ง ดันดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคพุ่ง

เศรษฐกิจ
16:49
49
รัฐกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านคนละครึ่ง ดันดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคพุ่ง
อ่านให้ฟัง
09:17อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
สนค.เผยดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคพ.ย. ปรับตัวสูงขึ้นเป็นเดือนที่ 2 หลังรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านคนละครึ่งพลัส แก้หนี้ครัวเรือน ท่องเที่ยว-ส่งออกขยายตัว จับตาราคาพืชเกษตร ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา น้ำท่วมภาคใต้ ด้านม.หอการค้า ชี้ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ปรับลดลงครั้งแรก

วันนี้ ( 4 ธ.ค.2568) นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค.ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชน จำนวน 6,456 ราย ครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือน พ.ย.2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 51.8 ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในช่วงเชื่อมั่นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 โดยเดือน ต.ค.2568 อยู่ที่ระดับ 50.9

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน อยู่ที่ระดับ 42.6 แม้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 40.9 ในเดือนก่อนหน้า แต่มีค่าต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งยังอยู่ในช่วงไม่เชื่อมั่น และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) อยู่ที่ระดับ 58.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 57.6 ในเดือนก่อนหน้า

ปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีอยู่ในระดับเชื่อมั่น มาจากการเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย Quick Big Win ของภาครัฐ ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการช่วยเหลือ ทั้งประชาชนและภาคธุรกิจที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการคนละครึ่ง พลัส มาตรการลดหนี้ครัวเรือน ช่วยเสริมสภาพคล่องและลดภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนและผู้ประกอบการ ส่งผลเชิงบวกต่อบรรยากาศเศรษฐกิจโดยรวม การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี

ประกอบกับนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศของภาครัฐ ช่วยให้จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและชาวไทยปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อรายได้ของภาคธุรกิจการค้าและบริการ และภาคการส่งออกไทยยังขยายตัวได้ดี จากอุปสงค์ในตลาดต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นประกอบกับภาครัฐเร่งดำเนินมาตรการทางการค้าเพื่อสนับสนุนการส่งออกให้เติบโตต่อเนื่อง

ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีอยู่ในระดับไม่เชื่อมั่น มาจากหลายปัจจัย อาทิ ความกังวลต่อภาระหนี้สินและค่าใช้จ่ายของประชาชนและภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง ราคาพืชเกษตรสำคัญของไทยอยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ส่งผลต่อรายได้เกษตรกร สถานการณ์น้ำท่วมและสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา

โดยสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ช่วงที่ทำการสำรวจ ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังไม่ได้หนัก คาดว่า น่าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นที่จะสำรวจในเดือนถัดไป รวมถึงปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และสถานการณ์ตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ ที่อาจส่งผลต่อภาคการผลิต การจ้างงานและการส่งออกของไทย ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามใกล้ชิดต่อไป


สำหรับปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค พบว่า ด้านเศรษฐกิจไทยส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคมากที่สุดคิดเป็น49.75% รองลงมา คือ มาตรการของภาครัฐ 14.95% เศรษฐกิจโลก 8.09% ราคาสินค้าเกษตร 8.01% สังคม ความมั่นคง 7.47 % การเมือง 5.85% ภัยพิบัติ โรคระบาด 2.43% ผลจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 2.06% และ อื่น ๆ 1.39%

ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ปรับลดลงครั้งแรก ซึ่งอยู่ระดับ 44.0 ซึ่งเป็นผลจากปัญหาน้ำท่วมใต้ และยังมองว่าหากไม่มีปัญหาดังกล่าวความเชื่อมั่นหอการค้าน่าจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

และยังพบว่าปัญหาความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในแต่ละภูมิภาคก็ไม่เหมือนกัน แต่ก็มีผลกระทบไปยังภาคอื่นด้วย เช่น ภาคกลางให้รับรู้ นอกจากนี้ก็ยังมาจากปัญหาสงครมการค้า ปัญหาชายแดนที่กระทบ ขณะที่ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น อยู่ระดับ 53.2 เป็นเดือนที่ 2 และดีขึ้นทุกรายการ

สัญญาณความเชื่อมั่นและปัจจัยที่กระทบนั้นมีทั้งบวกและลบที่ต้องติดตาม แม้การส่งออกจะขยายตัวดี แต่ก็ต้องติดตามในปีหน้า เนื่องจากหลายประเทศเริ่มเห็นชัดถึงปัญหาการส่งออกจากภาษีสหรัฐ เช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดีย และเกาหลีใต้ ขณะที่ คนละครึ่งพลัส ซึ่งใช้งบประมาณกระตุ้นประมาณ 66,000 ล้านบาท เม็ดเงินเข้าระบบ 40,000 ล้านบาท แต่ปัญหาน้ำท่วมมาฉุดทำให้เม็ดเงินหายไป 20,000 ล้านบาท จึงมีผลต่อโครงการทำงานไม่เต็มที่มากนัก

อย่างไรก็ดี เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น ความชัดเจนของมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ การเยียวยาผลกระทบจากน้ำท่วมจึงมีความจำเป็น ส่วนกระแสเรื่องของการยุบสภาจะภายในเดือนธันวาคม 2568 หรือ กรอบเวลาเดิม เดือนมกราคม 2569 ล้วนมีแต่ต่อภาพเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องของการเดินหน้าเจรจาภาษีสหรัฐ การใช้งบประมาณ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

เพราะหากยังเป็นกรอบเดิมยังทำให้มีรัฐบาลอำนาจเต็มที่จะเดินหน้าแผนต่างๆได้ชัดขึ้น แต่อาจจะมีผลบ้างในเรื่องของการได้รัฐบาลชุดใหม่ งบประมาณอาจจะล่าช้าไป 3 เดือน แต่หากยุบเร็ว อาจจะมีเม็ดเงินในเรื่องของการเลือกตั้งเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ แต่มาตรการต่างๆ การเยียวยาหากยังไม่ชัดเจนก็กระทบได้ ดังนั้น การคาดการณ์อาจจะยากเพราะหลายอย่างยังไม่มีความชัดเจนที่จะประเมินได้ในตอนนี้

 นายวาทิตร รักษ์ธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index : CCI) เดือนพฤศจิกายน 2568 กลุ่มตัวอย่าง 2,241 คน พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของผู้บริโภค ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ระดับ 53.2 เป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ในรอบ 10 เดือน ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ระดับ 46.8 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม อยู่ที่ระดับ 50.9 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ระดับ 61.9 ปรับตัวดีขึ้นทุกรายการเป็นเดือนที่ 2 ในรอบ 10 เดือน

แต่ทั้งนี้ ดัชนีทุกรายการยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) แสดงว่า ผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคต เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังไม่ชัดเจนแม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปัญหาน้ำท่วมกระทบต่อเศรษฐกิจ สงครามการค้า ปัญหาชายแดนที่ยังกระทบ

ขณะที่ ปัจจัยที่มีผลต่อความเชื่อมั่น เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการ “คนละครึ่งพลัส” มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว การส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่งออกไทยที่โตขึ้น ราคาน้ำมันปรับลดลง ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ส่วนปัจจัยลบ เช่น ผู้บริโภคยังมองว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ค่าครองชีพไม่สอดคล้องกับรายได้ ปัญหาน้ำท่วม ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลงซึ่งมีผลต่อรายได้ แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงความขัดแย้งสงครามการค้า ปัญหาชายแดน เป็นต้น

อ่านข่าว:

 เศรษฐกิจ Q4 โตต่ำกว่า 1 % นักวิชาการ เผยเสี่ยงถดถอย ชี้ยังไม่จำเป็นขึ้น VAT

"ภาษีทรัมป์" ป่วนการค้าโลก ทางรอดไทย "เจาะตลาดใหม่" กู้วิกฤตส่งออก

10 ธ.ค. ลุ้นเฟดปรับดอกเบี้ย ชี้ชะตลาดเงิน-ตลาดทุน