หลังจากก่อนหน้านี้ รอยเตอร์อ้างว่า ทรัมป์เตรียมพูดคุยทางโทรศัพท์กับนายกฯ ไทย และกัมพูชา เพื่อยุติความขัดแย้งที่เขาได้มีบทบาทสำคัญ เป็นเสมือนประธานและพยานลงนาม ปฏิญญาร่วมกันที่มาเลเซียเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2568
เพราะหากทำไม่สำเร็จ หรือไปต่อไม่ได้ ชื่อเสียงบารมีในฐานะผู้นำโลกย่อมสั่นสะเทือนด้านความเชื่อถือไปด้วย เพียงแต่การติดต่อเจรจากับผู้นำไทยและกัมพูชาย่อมต้องมีขั้นตอน
แม้นายอนุทิน จะยังแทงกั๊ก ไม่ตอบชัดว่า จะกลับไปสู่โต๊ะเจรจาหรือไม่ หลังเสียงแข็งว่า จะไม่มีการพูดคุยกับกัมพูชาอีก และยังไม่ตอบว่า เรื่องนี้จะจบเมื่อไหร่ ขณะที่นายสุส ยารา ที่ปรึกษาฯนายฮุน มาเนต อ้างว่า กัมพูชาพร้อมทุกเมื่อเพื่อเจรจายุติความขัดแย้งกับไทย แต่จะไม่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน
แต่ถึงกระนั้น อย่างไรเสียก็ต้องฟังนายทรัมป์อยู่ดี เพราะทางกัมพูชา ทราบดีอยู่แล้วว่า ได้รับผลกระทบแค่ไหน จากการปะทะกับกองทัพและทหารไทย ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เสียหายแค่ไหน
ยิ่งฝ่ายไทยตอกย้ำตลอดว่า ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้น และอ้างเป็นการใช้สิทธิป้องกันตนเอง ภายใต้กฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 51 เพื่อคุ้มครองอธิปไตย ความมั่นคง และความปลอดภัยของประชาชน
กัมพูชาไม่มีทางเลือกอื่น จึงต้องหวังพึ่งมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐฯ อย่างเลี่ยงไม่ได้
ขณะที่ฝ่ายไทย แม้จะมีกระแสกดดัน ให้ “เดินหน้าให้สุด” และ “ให้จบที่รุ่นเรา” แต่ในทางปฏิบัติไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปมขัดแย้งและพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา หมักหมมสะสมมานาน และถึงขณะนี้ ยังไม่สามารถระบุได้ชัดว่าเกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่
จึงเชื่อว่า ต้องกลับไปสู่โต๊ะเจรจาเช่นกัน เพราะในอีกด้านหนึ่ง มีเรื่องภาษีการค้าสหรัฐฯ คอยบีบอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่อาจมีเงื่อนไขบางประการ อาทิ ให้แสดงความจริงใจให้เห็นก่อน ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างอ้างถึง
แต่ในทางปฏิบัติ ไม่ง่ายอีกเช่นกัน ยิ่งเป็นเรื่องยุทธศาสตร์ความมั่นคง ต่างฝ่ายต่างคงตั้งแง่ถึงที่สุด
จึงได้เห็นนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ส่งสัญญาณเตือนและถามรัฐบาลเอาให้ชัด ว่าจบปัญหาชายแดนตรงไหน เพราะหากใช้กำลังทหารเพื่อทำลายขีดความสามารถคู่กรณีดังที่อ้าง อาจทำไทยถูกกล่าวหาเป็นผู้รุกรานได้
อีกประเด็นที่มองข้ามไม่ได้ คือคำกล่าวของ รองแม่ทัพภาค 2 พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ ที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า “ไม่มีการรบใด ไม่จบด้วยการเจรจา” ในฐานะทหารมืออาชีพ ที่ได้ต้องศึกษาเรื่องข้อพิพาทขัดแย้งต่าง ๆ บนหลายภูมิภาคของโลก ที่นำไปสู่การปะทะ สู้รบ หรือแม้กระทั่งสงคราม แต่สุดท้ายก็ต้องจบที่โต๊ะเจรจา
การขยับอีกครั้งของนายอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน และการเคลื่อนไหว หวังให้ยุติสงครามระหว่างไทย-กัมพูชาของนายทรัมป์ จึงถูกจับตาเป็นพิเศษว่า จะมีข้อเสนอ หรือวิธีการอย่างไร
หลังจากปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ที่ผ่านมา ทำ “พญาอินทรี” เสียหน้า
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : ทภ.2 ทำลายรถถัง T-55 จำนวน 6 คัน ยังยึดพื้นที่ตาควายไม่ได้ คาดทหารกัมพูชาตาย 102 นาย
UNESCO เตือน 2 ชาติ เคารพ กม.ระหว่างประเทศ ปกป้อง "ปราสาทพระวิหาร"











