ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

สมรภูมิเดือดเลือกตั้ง 69 “ปชน.-ภท” ชิงดำ เพื่อไทย “กระอัก” บ้านใหญ่ย้ายหนี

การเมือง
14:43
950
สมรภูมิเดือดเลือกตั้ง 69  “ปชน.-ภท”  ชิงดำ เพื่อไทย “กระอัก” บ้านใหญ่ย้ายหนี
อ่านให้ฟัง
08:28อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)

ทยอยเปิดตัว เปิดหน้า “แคนดิเดต” นายกฯกันไปแล้ว ทั้งพรรคใหญ่และพรรคเล็ก สำหรับศึกเลือกตั้งปี 2569 ประเดิมที่ พรรคเพื่อไทย โดยตัวเต็งค่ายสีแดง ลำดับ 1 คือ “ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์” ตามด้วย “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” หัวหน้าพรรค และ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ผอ.เลือกตั้งพรรคเพื่อไทย แม้การสำรวจของนิด้าโพลครั้งล่าสุด จะมีชื่อ “จุลพันธ์” และ “ยศชนันท์” ติดโผที่คนเมืองกรุงฯสนับสนุนให้เป็นนายกฯ ในลำดับ 7 และ 11 เห็นได้ว่าความนิยมตกต่ำอย่างน่าใจหาย

โดยตัวเลข  “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้” ระบุว่า อยู่ในสัดส่วนที่สูงถึง 47.25% หมายความว่า แม้ตัวแทนค่ายส้ม “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ”พรรคประชาชน จะคว้าอันดับ 2 ร้อยละ 16.95 และคายน้ำเงิน “อนุทิน ชาญวีรกูล” พรรคภูมิใจไทยมาเป็นอันดับ 3 ร้อยละ 10.90  และค่ายฟ้าพระแม่ธรณีบีบมวยผม “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” พรรคประชาธิปัตย์ เข้าวินมาอันดับ 4 ร้อยละ 9.00 และ “พรรคเล็ก” ที่ไม่เคยหลุดจากโพลนิด้า คือ พรรคเศรษฐกิจของ “พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์” อันดับ 5 ร้อยละ 2.75

การเลือกตั้งปี 2566 เป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 พรรคการเมืองใหญ่ คือ พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน โดยความพร้อมของค่ายสีแดงในขณะนั้น ภายใต้การนำของ “แพทองธาร ชินวัตร” ในฐานะหัวหน้าพรรคและหัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย มีคะแนนนิยมถึงร้อยละ 37.5 สูงกว่า “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” พรรคก้าวไกลที่ได้ร้อยละ 20.5 และสูงกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร้อย 13.6 และเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตัวเลขหาคนที่เหมาะสมนั่งนายกฯไม่ได้ อยู่แค่ร้อยละ 6.10

ปี 2569 สมรภูมิการเมืองเปลี่ยนไป “เพื่อไทย” ยังคงอยู่ในสนาม มีตัวเล่น ตัวเลือก มีฐานแฟนคลับเดิม แต่หลังเจอพิษ “คลิปอังเคิล” และตามมาด้วยปัญหาการสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา 2 รอบ ส่งผลกระทบไม่น้อยต่อ “บ้านใหญ่” ตระกูลชินวัตรส่ง “ยศชนัน” เป็นตัวแทนสู้ศึก เพิ่งจะเปิดตัวครั้งแรก และมีชื่ออยู่ในโพลลำดับ 11 ที่คนเมืองกรุงจะสนับสนุนเป็นนายกฯ คะแนนนิยมของพรรคฯหล่นมาอันดับ 6 ร้อยละ 1.95

ส่วนประชาธิปัตย์ ก็ดูเบาไม่ได้ เพราะคน กทม.จะให้สนับสนุนอยู่ในอันดับ 5 ร้อยละ 6.85 หายใจรดต้นคอ พรรคภูมิใจไทยที่มาเป็นอันดับ 4 ร้อยละ 9.55 และพรรคประชาชน อันดับ 3 ร้อยละ 10.05 ขณะที่ผลโพล 40.20 ชี้ว่า “ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้”

ดังนั้นสมรภูมิรบคนเมืองครั้งนี้ จึงเป็นศึกการช่วงชิงระหว่าง พรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย ส่วน “เพื่อไทย” และ “ประชาธิปัตย์” อาจเป็นเพียงตัวประกอบสำคัญที่มองข้ามไม่ได้หากผลการเลือกตั้งสองพรรคใหญ่ไม่ชนะแบบหมดหน้ากระดาน “ค่ายส้ม” อาจยังได้เปรียบจากคะแนนเสียงที่ได้จากกลุ่มวัยรุ่น และวัยทำงาน หรือชนชั้นกลาง ถ้า FC กลุ่มนี้ไม่ถูกดึงจากกระแสชาตินิยมรบไทย-กัมพูชา ไปบางส่วน

ส่วนค่ายน้ำเงิน และค่ายฟ้า ปชป.ในเมืองหลวง รอบนี้ต้องมาดวลกันที่กระแสชาตินิยมเป็นหลักจึงจะเห็นชัดเจน ในกรณีที่มีข้อตกลงเป็นพันธมิตร “กทม.” เดิมก็ไม่ใช่พื้นที่ปักธงของภูมิใจไทย มีความเป็นไปได้ที่สนาม สส.เขต ปล่อยให้ “ประชาชนและประชาธิปัตย์” ฟาดฟันกันให้เต็มที่ และภูมิใจไทยอาจเก็บคะแนนปาร์ตีลิสต์ไป หรืออาจ “จัดเต็ม” ส่ง สส.ครบ 33 เขตท้าชนวัดกระแสชาตินิยมผลพวงสงครามไทย-กัมพูชา เต็มสูบ

ว่าไปแล้ว ทั้งภูมิใจไทยและประชาชน มีจุดอ่อนและจุดแข็งคนละด้าน จุดแข็งของค่ายสีน้ำเงินที่ผ่านมา คือ การกวาดซุ้มการเมือง และ “บ้านใหญ่” เข้าสังกัด ซึ่งครั้งนี้จะเห็นได้ชัดว่า มีบ้านใหญ่ย้ายรังยกพรรค ยกกลุ่มก๊วนเข้ามา “เสริมจนล้น” ไม่ต้องไปค้นหาเพิ่มยากจัดระบบ “ปาร์ตีลิสต์”  

เดิมเคยมีคนจาก “บ้านใหญ่” เข้าร่วม 60-70 คน แต่ขณะนี้มี “บ้านใหม่” ใหม่ผนวกไม่ต่ำกว่า 70-80 คน ถือว่ามี สส.เขตอยู่ในมือกว่า 140 จำนวนนี้ แม้อาจจะสอบไม่ได้ทั้งหมด แต่ถือว่า ทั้งสายส่งกำลังบำรุงและยุทธโธปกรณ์ “ภูมิใจไทย” พร้อมรบสูงมาก และสามารถก้าวขึ้นแท่นขยับจากพรรคขนาดกลางมาเป็น “ขนาดใหญ่” ได้ไม่ยาก ส่วนจะเป็นเบอร์ 1 หรือไม่ ต้องจับตาดูในห้วงหลังสงครามไทย-กัมพูชาจะยุติลงหรือไม่

ส่วนค่ายสีฟ้า หลัง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กลับมานำทัพ พรรคประชาธิปัตย์ ส่ง สส.หน้าใหม่ลงครบในเขตเมืองหลวงครบ 33 เขตเลือกตั้ง จะเห็นได้ว่ามีการเปิดแคมเปญและนโยบายชัดเจน “ไทยหายจน ไม่ทนทนเทา และไม่เอาคอรัปชัน” ซึ่งการเลือกตั้งครั้งรอบนี้ คาดว่า FC และแฟนพันธุ์แท้ ที่เคยเทใจให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติในยุค “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อปี 2566 จะกลับมาเทคะแนนกลับคืนให้ แม้บ้านใหญ่ คนเก่า จะเดินจากไป แต่ยังมีคนใหม่ และคนเก่าเดิมที่เดินกลับมา

สำหรับพรรคขนาดกลางและพรรคเล็ก มาว่าจะเป็นพรรคกล้าธรรม หรือพรรคประชาชาติ "ปฏิเสธ" ไม่ได้ว่า ไม่มีกระแสสนับสนุน ส่วนนโยบายที่นำเสนอ ยังไม่เป็นที่เตะตา ขณะที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ไม่มีชื่ออยู่ในผลโพลที่คนเมืองหลงจะเลือกและสนับสนุน สมรภูมิรบจึงต้องช่วงชิงในหลายเขตเมืองภูธร ทุมสรรพกำลังส่ง “บ้านใหญ่” ลงเขตเลือกตั้ง โอกาสที่แทรกเข้ามาเป็นพรรคขนาดกลาง มีไม่มาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย หาก 2 พรรคใหญ่ไม่ชนะขาดลอย

หากประเมินจาก “บ้านใหญ่” ในหลายจังหวัด คอการเมืองมีการประเมินไว้ว่า “กล้าธรรม” อาจกวาด สส.เขตได้มากกว่า 20 ที่นั่ง  และทุกพรรคการเมือง ก็ยังมีสิทธิได้คะแนนที่ประชาชนยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกพรรคใดและใครเป็นนายกฯ

ส่วนพรรคเล็กเกิดใหม่ ไม่ว่าจะเป็น พรรคไทยก้าวใหม่ ของ “ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์”, พรรคไทยภักดี  ของ “นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม”, พรรคโอกาสใหม่ ของ “จตุพร บุรุษพัฒน์” , พรรครักชาติ ของ “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” และพรรคพลวัตรของ “กัณวีร์ สืบแสง” ก็ยังมีโอกาสสอดแทรกเข้ามาได้ ทั้งในกรณีที่จับฉลากได้เบอร์ปาตีลิสต์ลำดับต้นๆ ผลพวงที่เกิดขึ้นคือ สส.เขตไม่ได้ แต่การได้เก้าอี้ สส.ปาร์ตีลิสต์ เกิดขึ้นแน่ เนื่องจากปรากฎการณ์นี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และมักพบได้ในทุกหน่วยเลือกตั้ง  

จับกระแสการเมือง: วันที่ 17 ธ.ค.2568 “ฟ้าใหม่ ไล่เมฆเทา”เปิด 33 ผู้สมัครปชป.กทม. ค่ายส้ม “วิโรจน์-เท่าพิภพ”พักยก

ทวงคืน “มาตุภูมิ” ลิดรอนฤทธิ์ “ตระกูลฮุน” ภัยคุกคามความมั่นคง