ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

เปิดโปรไฟล์ "อ.ต้น" วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร แคนดิเดตนายกฯ ลำดับ 3 พรรคประชาชน

การเมือง
15:29
1,058
เปิดโปรไฟล์ "อ.ต้น" วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร แคนดิเดตนายกฯ ลำดับ 3 พรรคประชาชน
อ่านให้ฟัง
05:38อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ปชน.เปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ คนที่ 3 สู้ศึกเลือกตั้งปี 2569 "อ.ต้น-วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร" ขุนพลนโยบายผู้ไร้ความเสี่ยงทางกฎหมายเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาแคนดิเดต พร้อมวิสัยทัศน์เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยผ่านแนวคิด "Made with Thailand" เชื่อมโยงไทยสู่โลก

การขยับหมากครั้งสำคัญของ "พรรคสีส้ม" ภายหลังเหตุการณ์ทางการเมืองครั้งสำคัญเมื่อเดือน ส.ค.2567 ที่นำไปสู่การยุบพรรคก้าวไกล ต่อมา พรรคประชาชน (ปชน.) ได้ถือกำเนิดขึ้นและเริ่มวางยุทธศาสตร์เพื่อการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2569

เมื่อวันที่ 23 พ.ย.2568 ณ งาน "People’s Party Recharge" นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ได้ประกาศรายชื่อบุคคลที่จะเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคจำนวน 3 คน ได้แก่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ, นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล และ นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร การเสนอชื่อ 3 รายนี้มีจุดประสงค์ชัดเจนเพื่อไม่ให้ประชาชนต้องเผชิญกับ "นายกฯ แบบกล่องสุ่ม" และเป็นการป้องกันความเสี่ยงหากแคนดิเดตลำดับต้นต้องเผชิญกับปัญหาทางกฎหมาย

รู้จัก "อาจารย์ต้น" วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร

วีระยุทธ หรือที่รู้จักในนาม "อาจารย์ต้น" ปัจจุบันอายุ 46 ปี ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคฝ่ายยุทธศาสตร์การเมือง เส้นทางการศึกษาของเขาเริ่มต้นที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะหันมาสนใจด้านเศรษฐศาสตร์และคว้าปริญญาโทจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ จากนั้นได้รับทุน Cambridge Trust ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทและเอกด้านเศรษฐศาสตร์การพัฒนา ณ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ โดยมี Ha-Joon Chang นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังระดับโลกเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา

ก่อนเข้าสู่การเมืองเต็มตัว วีระยุทธมีประสบการณ์ทางวิชาการที่เข้มข้นในระดับสากล โดยเป็นรองศาสตราจารย์ที่ National Graduate Institute for Policy Studies (GRIPS) ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มานานกว่า 11 ปี นอกจากนี้ยังเคยทำงานร่วมกับหน่วยงานระหว่างประเทศระดับสูง เช่น IMF, UNCTAD และ UN ESCAP รวมถึงเป็นผู้เขียนหนังสือ "เศรษฐกิจสามสี: เศรษฐกิจแห่งอนาคต"

ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ "Made with Thailand"

วีระยุทธมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในเรื่อง "กับดักรายได้ปานกลาง" (Middle-Income Trap) และนโยบายอุตสาหกรรม เขาเชื่อว่าไทยไม่สามารถเติบโตเป็น "เสือตัวที่ 5" ได้หากยังต้องพึ่งพาขาของคนอื่น เช่น การลงทุนจากต่างชาติเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีเทคโนโลยีเป็นของตนเอง แนวคิด "Made with Thailand" ที่เขานำเสนอนั้น คือการเปลี่ยนจากการเป็นเพียงฐานการผลิต มาเป็นการเอาประเทศไทยเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของโลกผ่านการต่อรองและร่วมสร้างเทคโนโลยี

เขายังเสนอโครงการ "เมกะโปรเจกต์สีส้ม" ซึ่งเน้นการพัฒนาบริการพื้นฐาน เช่น น้ำประปาดื่มได้ ขนส่งมวลชน และระบบพลังงานอัจฉริยะ (Smart Grid) โดยมองว่านโยบายเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการพัฒนาคุณภาพชีวิต แต่เป็น "ธนูสามดอก" ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและทำให้ไทยมีเทคโนโลยีเป็นของตนเองในระยะยาว

แคนดิเดต "ผู้ไร้ชนัก"

ประเด็นที่ทำให้ชื่อของ "วีระยุทธ" โดดเด่นที่สุดในขณะนี้คือ "ความปลอดภัยทางกฎหมาย" เนื่องจากแคนดิเดตลำดับที่ 1 (ณัฐพงษ์) และลำดับที่ 2 (ศิริกัญญา) รวมถึง สส. อีกหลายคน กำลังเผชิญกับคดีใน ป.ป.ช. กรณีร่วมลงชื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสิทธิทางการเมือง วีระยุทธจึงเป็นแคนดิเดตเพียงคนเดียวที่ "ไร้รอยขีดข่วน" จากคดีดังกล่าว ทำให้เขากลายเป็นตัวเลือกหลักที่พรรคสามารถวางใจได้ว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุทางกฎหมายในช่วงรอยต่อสำคัญ

ความท้าทายจาก "หลังฉาก" สู่ "หน้าฉาก" แม้จะมีโปรไฟล์ที่เพียบพร้อมและได้รับคำชมว่าเป็นการผสมผสานระหว่างนักคิด นักปฏิบัติ และผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยี แต่วีระยุทธยังเผชิญความท้าทายเรื่องการรับรู้ของประชาชน เนื่องจากที่ผ่านมาเขามักทำงานเป็นกุนซืออยู่เบื้องหลัง การขยับขึ้นมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ จึงจำเป็นต้องใช้เวลาในการสร้างความคุ้นเคยกับมวลชนและแสดงภาวะผู้นำในสนามการเมืองจริง อย่างไรก็ตาม วีระยุทธยืนยันว่าเขาพร้อมอุทิศเวลา 10 ปีต่อจากนี้เพื่อพิสูจน์ว่านโยบายที่ผ่านการคิดเชิงระบบจะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้จริง

วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร จึงไม่ใช่แค่เรื่องของตัวบุคคล แต่เป็นสัญลักษณ์ของพรรคประชาชนที่พยายามใช้ "ความรู้" และ "ความรอบคอบ" ในการนำทางท่ามกลางความผันผวนทางการเมืองของไทย

อ่านข่าวอื่น :

เจรจา GBC 24 ธ.ค.จุดเริ่มต้นเพื่อ “หยุดยิง”

ครม.อนุมัติงบกลางจัดเลือกตั้ง สส. พร้อมทำประชามติ 8,978 ล้านบาท

จับ สินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้า คาด่านนครพนม – มุกดาหาร มูลค่ากว่า 65 ล้านบาท