1. หน้าแรก
ฝายพญาคำบนทางสองแพร่ง ?

ฝายพญาคำบนทางสองแพร่ง ?

19 มิถุนายน 2568
402
2

จากภาพด้านบน เรายืนอยู่ริมตลิ่ง ได้ยินเสียงน้ำกระทบหินโบราณที่เรียงตัวกันมานับศตวรรษ ผสานกับเสียงเครื่องจักรกลางแม่น้ำนั้น เสียงชอบกล ยังไงอธิบายไม่ถูก

ริมตลิ่งด้านหลัง มีศาลเพียงตาที่ตั้งตระหง่านอยู่ใกล้เคียงคือเครื่องยืนยันถึงความผูกพันเชิงจิตวิญญาณระหว่างชุมชนกับสายน้ำ ภาพอันเปี่ยมด้วยชีวิตชีวานี้กลับซ้อนทับอยู่กับเงาของความเป็นจริงอันน่าหวั่นเกรง นั่นคือแผนการรื้อถอนของภาครัฐที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า นี่คือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งที่หยั่งรากลึก ที่ซึ่งโครงสร้างอันเป็นที่เคารพในฐานะ "ลมหายใจเหมือง" ถูกตีตราอย่างเป็นทางการว่าเป็น "สิ่งกีดขวาง" ที่ต้องถูกจัดการ

 

เช้านี้บรรยากาศค่อนข้างแจ่มใสกลุ่มผู้ใช้น้ำในพื้นที่เชียงใหม่โดยเฉพาะอำเภอสารภี ใช้ฤกษ์ วันที่ 19 เดือน 9 เวลา 9 โมง 9 นาที (ตามปฏิทินล้านนา) ทำพิธี บวงสรวง เจ้าพ่อพญาคำ เรืองฤทธิ์ และเลี้ยงผีฝายพญาคำ ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมา เหมือนยังแต่ก่อน สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับน้ำในระบบเหมืองฝายถูกถักทอให้แน่นแฟ้นขึ้นผ่านพิธีกรรมและจารีตประเพณี   ว่าฝายพญาคำ โครงสร้างนี้มิใช่เป็นเพียงสิ่งก่อสร้างที่ขวางกั้นลำน้ำ แต่เป็นศูนย์กลางของระบบนิเวศทางวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจ ที่หล่อเลี้ยงผู้คนมาอย่างยาวนาน

 

พิธีกรรมนี้ไม่ใช่เรื่องของความงมงาย แต่มีหน้าที่ทางสังคมที่สำคัญอย่างยิ่ง มันเป็นกลไกในการสร้างเสริมความสามัคคีในชุมชน เป็นการตอกย้ำถึงความเป็นเจ้าของร่วมกัน และเป็นเวทีสาธารณะที่ทุกภาคส่วน ปจนถึงผู้นำชุมชนดั้งเดิมที่เรียกว่า "แก่เหมืองแก่ฝาย" เกษตรกรผู้ใช้น้ำ จะได้มาพบปะ พูดคุย และวางแผนการจัดการน้ำร่วมกันสำหรับฤดูกาลเพาะปลูกที่กำลังจะมาถึง การดำรงอยู่ของพิธีกรรมนี้คือหลักฐานที่ชัดเจนว่าฝายพญาคำไม่ใช่แค่โครงสร้างทางกายภาพ แต่เป็นสถาบันทางสังคมที่มีชีวิต

 

แน่นอนว่าเมื่อทุกคนมาพบกันปีนี้เป็นเหมือนทุกครั้งที่กลุ่มผู้ใช้น้ำจะได้ล้อมวงพูดคุยกัน แต่ปีนี้เป็นปีพิเศษเนื่องจากมีโครงการพัฒนาขนาดใหญ่นั่นคือพิมพ์เขียวของรัฐที่เสนอแผนแก้ปัญหาเร่งด่วนสำหรับน้ำปิงจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปีที่ผ่านมา นั่นคือการขุดลอกลำน้ำและการรื้อถอนฝาย

 

โจทย์ที่ชาวบ้านและตัวแทนหน่วยงานพร้อมวงคุยกันในวันนี้ หลังจากที่ชาวบ้านรู้ว่าจะมีการรื้อถอนฝายซึ่งก่อนหน้านี้ มีเวทีประชาพิจารณ์มาแล้วหลายรอบ แต่ดูเหมือนว่ากลุ่มผู้ใช้น้ำยังมีข้อความกังวลอยู่ไม่น้อย

 

อย่าง ว่าที่ ร.ท.บัญชาการ พลชมชื่น สมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัดเชียงใหม่ เขตอำเภอสารภี ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนเกษตรกรที่ยังมีอาชีพเกษตรกรอยู่คุณลุงบอกว่าปลูกข้าว 15 ไร่ ปลูกลำใยอีก 17 ไร่ ความกังวลก็คือว่าหากไม่มีน้ำมาหล่อเลี้ยงในเหมืองซึ่งปัจจุบันพบมีน้ำเสียเยอะก็จะทำให้คุณภาพน้ำที่ไหลไปยังพื้นที่ของคุณลุงที่สารภีนั้นแย่ไปด้วย ตอนนี้น้ำก็เริ่มมีกลิ่นเหม็น ไม่มีหลักประกันอะไรเลยหากรื้อเหมืองออกแล้วน้ำจะไหลเข้าสู่ฝาย ข้อเรียกร้องของคุณลุงก็คือว่าอยากจะให้เห็นใจชาวบ้านกลุ่มผู้ใช้น้ำ

 

ด้านนาย ชัชวาล ทองดีเลิศ อดีตผู้อำนวยการโฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา ข้อเรียกร้องที่ยังคงเหมือนเดิมคือต้องรับรองและรับประกันให้ได้ว่าต้องมีน้ำให้กับชาวบ้านทั้ง 8 ตำบล 104 หมู่บ้าน เหมือนเดิม ประเด็นที่สองคืออยากให้หน่วยงานภาครัฐทบทวน เนื่องจากว่าโครงการที่เขียนว่ารื้อถอนฝาย ดูเหมือนเป็นการตั้งธงจนเกินไป จะปรับได้หรือไม่เช่นขุดลอกลำเหมืองพญาคำ ให้เป็นช่องทางระบายน้ำท่วม และการรื้อถอนฝายเปลี่ยนเป็นคำว่าปรับปรุงฝายได้ไหม เพื่อไม่ให้ขวางทางน้ำหรืออะไรก็ขึ้นอยู่กับคำอธิบาย  แต่หากยังยืนยันรื้อถอนเหมืองฝาย นี่จะถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิชุมชนหรือไม่ เนื่องจากเหมืองฝายมีกฎหมายรองรับคือกฎหมายชลประทานราช 2480 ซึ่งมาจากมังรายศาสตร์

 

ในมุมมองของหน่วยงานรัฐ นายดุสิต พงศาพิพัฒน์ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงใหม่ ระบุบว่า ไม่เคยบอกเลยว่า ฝายทั้ง3เป็นจำเลย เพียงเเต่ว่าวันนี้ฝายทั้ง 3 ฝายจะเสียสละเพื่อคนเชียงใหม่ 2ล้านคนอย่างไร สถานการณ์นี้คือภาวะที่ต้องตัดสินใจเลือกทาง โจทย์คือเราต้องทำให้น้ำไหลสะดวก ฝนทุกวันนี้ตกเยอะกว่าปกติ การปรับปรุงฝายจะช่วยให้เชียงใหม่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ภาครัฐไม่ได้นิ่งนอนใจต่อผลกระทบที่จะเกิดกับเกษตรกร และได้เตรียมแผนบรรเทาผลกระทบไว้แล้ว โดยเสนอแนวทางแก้ปัญหาทางวิศวกรรม เช่น การใช้ประตูระบายน้ำดันน้ำย้อนกลับขึ้นมาเพื่อส่งเข้าลำเหมืองพญาคำ และการเตรียมเครื่องสูบน้ำกำลังสูงจำนวนมากไว้เป็นหลักประกัน เพื่อให้เกษตรกรมั่นใจว่าจะไม่ขาดแคลนน้ำอย่างแน่นอน

 

ฝายพญาคำคือหมุดหมายสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ล้านนา แม้ว่าแนวคิดของระบบชลประทาน "เหมืองฝาย" จะมีรากฐานที่เก่าแก่กว่านั้น โดยบางแหล่งข้อมูลระบุว่าระบบนี้อาจมีอายุยาวนานกว่า 1,000 ปี ก่อนการสร้างเมืองเชียงใหม่เสียอีก แต่สำหรับฝายพญาคำโดยเฉพาะนั้น มีหลักฐานชัดเจนว่าถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 7 (พ.ศ. 2413 - 2440) โดยการนำของขุนนางผู้มีความสามารถนามว่า "พญาคำ" การก่อสร้างในครั้งนั้นไม่ได้เป็นเพียงการริเริ่มของชาวบ้าน แต่เป็นโครงการที่มีการรับรองอย่างเป็นทางการจากผู้ปกครองนคร

 

บทบาทของพญาคำไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง แต่ท่านยังได้รับการแต่งตั้งให้ดูแล "กรมนา" ซึ่งเทียบเท่ากับกระทรวงเกษตรในปัจจุบัน มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดสรรให้ราษฎรทำการเบิกนา ขุดเหมือง และสร้างฝาย เพื่อนำน้ำไปใช้ในการเพาะปลูก สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าฝายพญาคำถือกำเนิดขึ้นจากเจตนารมณ์ของรัฐในยุคนั้น เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักในการสร้างความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจให้กับอาณาจักร

 

ฝายพญาคำเป็นหัวใจของระบบชลประทานอันซับซ้อนที่เรียกว่า "เหมืองฝาย" ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่โดดเด่นของชาวล้านนาในการใช้ประโยชน์จากแรงโน้มถ่วงของโลกเพื่อผันน้ำจากแม่น้ำเข้าสู่พื้นที่เกษตรกรรม ระบบนี้ไม่ได้มีมิติทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นระบบทางสังคมที่วางอยู่บนหลักการของความร่วมมือ การแบ่งปันภาระหน้าที่ และการจัดสรรน้ำอย่างเป็นธรรม

 

เส้นเลือดใหญ่ ขุมพลังทางเศรษฐกิจ

 

ฝายพญาคำคือเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงพื้นที่เกษตรกรรมอันกว้างขวาง ข้อมูลจากหลายแหล่งระบุขนาดพื้นที่รับประโยชน์ไว้ประมาณ 32,000 ไร่ แต่ล่าสุดตัวเเทนกลุ่มเกษตรในพื้นที่ระบุ เหลือราว 28,000 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 8 ตำบล ได้แก่ หนองหอย หนองผึ้ง ยางเนิ้ง สารภี ไชยสถาน ชมภู หนองแฝก และอุโมงค์ ซึ่งคาบเกี่ยวพื้นที่สองจังหวัดคือเชียงใหม่และลำพูน

 

เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเชียงใหม่ที่สำคัญในอดีต เช่น พ.ศ. 2548 และล่าสุด พ.ศ.2568  ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ผลักดันให้ปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่กลายเป็นวาระสำคัญที่รัฐบาลให้ความสนใจ  และทำให้ฝายต่างๆ ในแม่น้ำปิงตกเป็นจำเลยในสายตาของหน่วยงานรัฐ ทางการจากหน่วยงานด้านชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระบุว่า ฝายหินทิ้งกึ่งถาวรในแม่น้ำปิง โดยเฉพาะ 3 ฝายหลักในเขตเมือง ได้แก่ ฝายพญาคำ ฝายหนองผึ้ง และฝายท่าวังตาล ทำหน้าที่เป็นสิ่งกีดขวางการไหลของน้ำอย่างมีนัยสำคัญ ในภาวะที่มวลน้ำมหาศาลไหลหลากลงมาจากตอนบน ฝายเหล่านี้จะหน่วงการไหลของน้ำและยกระดับน้ำให้สูงขึ้น ส่งผลให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจใจกลางเมืองเชียงใหม่ สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล  

 

ข้อสรุปนี้ไม่ได้เป็นเพียงการคาดเดา แต่ได้รับการยืนยันจากการศึกษาและแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์ โดยผู้เชี่ยวชาญอย่าง รศ.ดร.ชูโชค อายุพงศ์ หัวหน้าศูนย์วิชาการสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ยืนยันในทางเทคนิคว่าความสูงของสันฝายส่งผลโดยตรงต่อการยกระดับน้ำในพื้นที่เหนือฝายอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

 

พิมพ์เขียวของรัฐหลังเผชิญกับน้ำท่วมใหญ่ในปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนงานแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐานระยะเร่งด่วนสำหรับแม่น้ำปิงและแม่น้ำกก ด้วยวงเงินรวมกว่า 213 ล้านบาท สำหรับแม่น้ำปิง แผนดังกล่าวประกอบด้วย 2 โครงการหลักที่ชัดเจน คือ

 

1การขุดลอกลำน้ำ: โครงการขนาดใหญ่เพื่อขุดลอกตะกอนดินและทรายออกจากท้องน้ำปิง ครอบคลุมระยะทางรวม 41 กิโลเมตร ปริมาณ 1.7 ล้านลูกบาศก์เมตร  เพื่อเพิ่มความสามารถในการรองรับและระบายน้ำของแม่น้ำ สำหรับแผนการดำเนินการขุดลอกแม่น้ำปิงในภาพรวม จะดำเนินการขุดลอกแม่น้ำปิงในเฟสแรกระยะทาง 41 กิโลเมตร แบ่งช่วงการขุดออกเป็น 5 ช่วง และคาดว่าจะมีปริมาณดินและตะกอนที่ต้องขุดออกประมาณ 1.7 ล้านลูกบาศก์เมตร  เบื้องต้นได้เริ่มดำเนินการขุดระยะเร่งด่วนในช่วงเขตพื้นที่ตัวเมืองก่อน ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ระยะที่ 2 , 3 และ 4 ระยะทางรวมประมาณ 22 กิโลเมตร คาดว่าจะมีปริมาณดินและตะกอนประมาณ 8 แสนลูกบาศก์เมตร จากนั้นจึงจะดำเนินการในระยะต่อไป  โดยคาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จให้ทันช่วงฤดูฝนในช่วงเดือนกันยายน ที่จะถึงนี้
 

2การรื้อถอนฝาย: โครงการรื้อถอนฝายเก่า 3 แห่ง คือ ฝายพญาคำ ฝายหนองผึ้ง และฝายท่าวังตาล ซึ่งถูกระบุว่าเป็นสิ่งกีดขวางทางน้ำ ด้วยงบประมาณ 12 - 13.8 ล้านบาท   ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้ใช้น้ำ
 

แผนงานนี้เป็นการบูรณาการการทำงานของหลายหน่วยงานระดับชาติ โดยมีกรมเจ้าท่ารับผิดชอบด้านการสำรวจออกแบบ, หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (นทพ.) รับผิดชอบปฏิบัติการขุดลอกเนื่องจากมีความพร้อมด้านเครื่องจักรและกำลังพล และกรมชลประทานรับผิดชอบการรื้อถอนฝายและการบริหารจัดการน้ำในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้

เหมือนจะมีเพียงสองทางเลือกระหว่าง "อนุรักษ์" กับ "รื้อถอน" กลุ่มประชาสังคมและชุมชนได้พยายามสร้างสรรค์ "ทางเลือกที่สาม" ขึ้นมา ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ที่มุ่งหวังจะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส และเปลี่ยนพื้นที่แห่งความขัดแย้งให้กลายเป็นสินทรัพย์ร่วมกันของเมือง

อย่างไรก็ดีทางออกที่แท้จริงอาจไม่ได้อยู่ที่การเลือกระหว่างวิศวกรรมกับวัฒนธรรม แต่อยู่ที่การสร้าง "สัญญาประชาคม" ระบวนการตัดสินใจในโครงการขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมากต้องตั้งอยู่บนหลักการของการมีส่วนร่วมให้ได้มากที่สุด

สิ่งแวดล้อม
ชุมชน-สังคม
ศิลปะ-วัฒนธรรม
บทความ
ทุกภาค
ฝายพญาคำ
เชียงใหม่
การจัดการน้ำ
แชร์บทความ

TheNorth-องศาเหนือ

TheNorth-องศาเหนือ

เรื่องราวเรื่องเล่าของภาคเหนือ

บทความแนะนำ